วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

การนำศาสนาเข้าสู่สถาบันการศึกษา

ไทยรัฐ

สาส์นจากทำเนียบขาวของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาประมาณ 4,000 แห่งทั่วประเทศเมื่อเดือน มีนาคม 2554 ซึ่งนอกจากจะเป็นสาส์นที่มีเนื้อหาอย่างชัดเจนแล้วยังเป็นสาส์นที่สร้างความประหลาดใจกับผู้รับพอสมควร เพราะเนื้อหาในสาส์นนั้นไม่ใช่เป็นการเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยพัฒนาการเรียนการสอนทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อเป็นผู้นำของโลก หรือเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ แต่ให้มหาวิทยาลัยร่วมมือกับองค์กรศาสนาในท้องถิ่นเพื่อสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างผู้ที่มีความเชื่อหรือมีศาสนาที่แตกต่างกันให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ
ประธานาธิบดี Obama มีความคิดว่า ความศรัทธาที่มีอยู่ในชุมชนนั้นจะนำไปสู่ปลายทางของสังคมที่สันติสุขและเสนอ 4 รูปแบบ (Model) ในการดำเนินการให้กับมหาวิทยาลัย โดยรูปแบบแรกให้ดำเนินการเรื่อง ผู้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับพระเจ้า (The God Counselor) รูปแบบนี้อนุศาสนาจารย์ในมหาวิทยาลัย (University Chaplains) เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการให้คำปรึกษาและคำสอนทางด้านศาสนาและความเชื่อในลัทธิต่าง ๆ รูปแบบที่สอง เป็นการใช้ผู้เชี่ยวชาญภายนอก (The External Expert) การนำผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอกมหาวิทยาลัยเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินกิจการของมหาวิทยาลัยนอกจากจะได้ผลในการเพิ่มจำนวนผู้สมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเมื่อมีการใช้รูปแบบนี้เมื่อ 15 ปีก่อนนี้แล้ว ยังจะช่วยสร้างความเข้าใจในรูปแบบที่หลากหลายทางด้านความเชื่อของประชากรในมหาวิทยาลัยด้วย รูปแบบที่สาม เป็นการสร้างรูปแบบความศรัทธาที่หลากหลาย (Multifaith Model) เมื่อก่อนนี้การหารูปแบบความศรัทธาที่หลากหลายเป็นเรื่องยากในมหาวิทยาลัย มีเพียงการไม่กีดกันความศรัทธาที่แตกต่างไปจากจารีตของคนส่วนใหญ่เท่านั้น แต่ในปัจจุบันสามารถพบเห็นและจัดรูปแบบเพื่อตอบสนองความต้องการได้ และรูปแบบที่สี่ ให้ดำเนินการเกี่ยวกับโบสถ์ในมหาวิทยาลัย (The Established Church) มหาวิทยาลัยหลายแห่งมีโบสถ์และองค์กรศาสนาเป็นผู้อุปถัมภ์ เช่น Harvard, Stanford, Princeton, และ Duke เป็นต้น สามารถดำเนินการให้โบสถ์เป็นห้องปฏิบัติการสำหรับความเชื่อและความศรัทธาที่หลากหลาย การดำเนินการอาจผ่านภาควิชา คณะวิชาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัย
(ผู้สนใจรายละเอียดสามารถศึกษาได้จากบทความของ Mark Edington เรื่อง “The campus Chapel as an Interfaith Laboratory” ในวารสาร The Chronicle of Higher Education ฉบับ The Chronicle Review เดือน April 15, 2011.)
 ทำไมต้องนำศาสนาเข้าสู่สถาบันการศึกษา
ประเทศไทยมีผู้นับถือศาสนาพุทธเป็นส่วนมาก การศึกษาของไทยเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธและมีวัดเป็นสถานศึกษาที่สำคัญมาโดยตลอดโดยเฉพาะการศึกษาขั้นพื้นฐาน รัฐบาลตั้งโรงเรียนในวัดขึ้นจำนวนมากและใช้ชื่อโรงเรียนตามชื่อวัดเป็นส่วนมากตามที่ทราบกันดีแล้วนั้น ต่อมารัฐบาลจัดตั้งสถานศึกษานอกวัดขึ้นและมีการจัดการศึกษาที่หลากหลายสาขาวิชาและระดับชั้นของการศึกษาทำให้มีสถาบันการศึกษาเกิดขึ้นจำนวนมากที่อยู่นอกวัด นอกจากนั้นยังมีสถาบันการศึกษาจำนวนหนึ่งเกิดขึ้นจากการอุปถัมภ์ของศาสนาอื่น ๆ ที่ไม่ใช่พุทธศาสนาเกิดขึ้นอีกเช่นกัน
 ความหลากหลายทางความเชื่อ และการนับถือศาสนาในประเทศไทย มีการดำเนินการทั้งในระดับสถานศึกษาและในระดับสังคมได้อย่างเหมาะสมมาโดยตลอด แต่เมื่อมีพัฒนาการทางเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เกิดการรวมตัวกันของกลุ่มคนในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก ได้มีโอกาสติดต่อถึงกันได้อย่างรวดเร็ว สะดวก และด้วยหลากหลายช่องทางของการสื่อสาร มีการเผยแพร่ความคิด ความเชื่อ ความศรัทธา และศาสนาในรูปแบบต่าง ๆ มากขึ้น และการเผยแพร่นั้น กลุ่มประชากรในสถาบันการศึกษาเป็นเป้าหมายที่สำคัญ
 จากการที่สหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญกับมหาวิทยาลัยในการจัดการเรื่องของความเชื่อ ความศรัทธา และศาสนาที่หลากหลายนั้น แสดงให้เห็นว่า การทำให้บุคคลมีแบบแผนของความเชื่อ ความศรัทธา และศาสนาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจนั้น เป็นสิ่งที่จะนำไปสู่สันติภาพและความสงบสุขของมวลมนุษยชาติได้ การที่บุคคลไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ หรือมีสิ่งยึดเหนี่ยว แต่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวที่สามารถสร้างความไม่สงบสุขในสังคมได้ง่าย จะเป็นอุปสรรคสำหรับการพัฒนาอารยธรรมของมวลมนุษย์ชาติ ความไม่สงบสุขในสังคม ความล่าช้าในการพัฒนา รวมทั้งสงครามและการสู้รบต่าง ๆ ในอดีตของมนุษย์ชาติส่วนหนึ่งเกิดจากความแตกต่างทางด้านความคิด ความเชื่อ ความศรัทธาและศาสนาเป็นสำคัญ
 สถาบันการศึกษาเป็นแหล่งสร้างภูมิปัญญาให้กับบุคคลในสังคม การนำศาสนาเข้าสู่สถาบันการศึกษาด้วยรูปแบบต่าง ๆ ทั้ง 4 ประการตามแบบของสหรัฐอเมริกานั้น ประเทศไทยได้ดำเนินการมาโดยตลอด และบางสถาบันการศึกษาได้มีการดำเนินการมากกว่า 4 รูปแบบ แต่ละรูปแบบอาจจะมากบ้างน้อยบ้างตามจังหวะเวลาและนโยบายของผู้บริหาร แต่เหตุผลสำคัญที่ควรนำศาสนาเข้าสู่สถาบันการศึกษาคือ การทำให้บุคคลมีสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจที่ถูกต้อง ดีงาม และเหมาะสมกับแต่ละบุคคล นอกเหนือจากการมีวิชาการและวิชาชีพที่เข้มแข็งแล้ว ควรมีจิตใจที่เข้มแข็งด้วย
การเผยแพร่ศาสนาในประเทศไทย
ประเทศไทยมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา แต่ในทางปฏิบัติเมื่อต้องติดต่อหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ หรือภาคเอกชนในการกรอกข้อความตามแบบฟอร์มต่าง ๆ มักจะมีช่องให้ระบุศาสนาอยู่ด้วย ถ้าไม่กรอกข้อความ หรือระบุว่าไม่มีศาสนา อาจทำให้แบบฟอร์มไม่สมบูรณ์ได้ และอาจมีผลอย่างอื่นตามมาได้เช่นกัน ดังนั้นศาสนาจึงเป็นสิ่งที่คนไทยส่วนมากยอมรับว่า ต้องมีถ้าไม่มีศาสนาจะเป็น คนแปลกอาจทำให้ไม่มีใครอยากคบหาสมาคมด้วย
 การเผยแพร่ศาสนาสามารถทำได้อย่างเสรีค่อนข้างมากในประเทศไทย จึงมีศาสนา ลัทธิ นิกาย ความเชื่อ ต่าง ๆ มากมายพยายามเผยแพร่ให้คนไทยยอมรับนับเอาเป็นความเชื่อถือ ศรัทธา หรือเปลี่ยนไปนับถือศาสนานั้น ความพยายามนี้มีมานานตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงปัจจุบัน ทุกวันนี้มียังมีคนต่างชาติเข้ามาเผยแพร่ศาสนา แต่ก่อนจะพบเห็นเป็นชาวยุโรป หรืออเมริกันแต่งกายเรียบร้อย สวมเสื้อขาว กางเกงสีเข้ม ผูกเน็คไท ขี่จักรยานหรือเดินไปตามที่ชุมชนหรือหมู่บ้านแจกเอกสาร อธิบายศาสนาเป็นภาษาไทยสำเนียงตะวันตก แต่ปัจจุบันมีทั้งชาวเอเชีย เช่น จีน และ แอฟริกัน เป็นผู้เผยแพร่ศาสนา ออกเดินเท้าชักชวนคนในหมู่บ้านต่าง ๆ ให้เข้าเป็นสมาชิกและร่วมกิจกรรมของศาสนาด้วยรูปแบบและกลวิธีต่าง ๆ มีการใช้สื่อต่าง ๆ เผยแพร่ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งนี้เพื่อต้องการเพิ่มสมาชิกให้มากขึ้น การดำเนินการดังกล่าวเป็นความงดงามและแสดงถึงเสรีภาพในประเทศไทยและช่วยให้บุคคลที่ขาดสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจได้พบกับสิ่งที่เหมาะสมกับตนเอง
 ในขณะเดียวกันการเผยแพร่พุทธศาสนาในประเทศไทยนั้น จากเดิมที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับสถาบันการศึกษาเพราะมีการพึ่งพิงกันมาในอดีตกาลที่ยาวนาน ในปัจจุบัน วัดกับ โรงเรียนในวัดมีความสัมพันธ์ที่น้อยลงกว่าแต่ก่อน เนื่องจากส่วนมากครูในโรงเรียนมีระดับการศึกษาและคุณวุฒิทางการศึกษามากกว่าพระในวัด จึงไม่ต้องพึ่งพิงพระในวัดเหมือนในอดีตกาล นอกจากนั้นหลักสูตรและการสอนไม่เอื้อให้พระมามีส่วนร่วมในการสอนมากนัก นอกจากมาร่วมในพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น จะมีเฉพาะพระบางรูปเท่านั้นที่ได้รับนิมนต์ไปเทศน์ให้กับนักเรียน นักศึกษา หรือบุคลากรทางการศึกษาในสถาบันการศึกษาเป็นครั้งคราว และพระเหล่านั้นมักจะเป็นพระที่เป็นที่รู้จัก หรือพบเห็นตามสื่อมวลชนบ่อย ๆ และมีกิจนิมนต์มาก ไม่สามารถรับนิมนต์ได้ทั่วถึง ยิ่งโรงเรียนเล็ก ๆ ห่างไกลยิ่งไม่มีโอกาส
การเตรียมการสำหรับประเทศไทย
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีความเข้มแข็งทางวิชาการ และวิชาชีพเท่านั้น ไม่อาจทำให้สังคมมีความสุขสงบ และประชาชนมีความสุขได้ ควรมีการพัฒนาความเข้มเข็งทางจิตใจด้วย หน่วยงานของรัฐและองค์กรทางศาสนาจะมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้าง เยียวยา แก้ไข ภาวะจิตใจของประชาชนในสังคม แต่กลไก วิธีการ กระบวนการ รวมทั้งเครื่องมือในการฝึกอบรมนั้นมีอยู่พร้อมในมหาวิทยาลัย เพียงแต่รัฐบาลจะมอบหมายภารกิจนี้ให้มหาวิทยาลัยอย่างชัดเจนเหมือนอย่างสหรัฐอเมริกาในการพัฒนาจิตใจพลเมืองของชาติให้มีความเข้มแข็ง มีความคิด ความเชื่อ ความศรัทธา และศาสนาที่เหมาะสมกับปัจเจกบุคคลแล้ว เชื่อว่าภารกิจนี้จะประสบความสำเร็จ สามารถสร้างเอกภาพทางความคิดให้กับพลเมืองไทยได้ในอนาคต โดยเตรียมการดังนี้
1. นโยบายภาครัฐ หน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่ออกกฎระเบียบ คำสั่ง และมีสายงานบังคับบัญชา ควรดำเนินการให้มหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ สามารถดำเนินการนำศาสนาเข้าสู่สถาบันการศึกษาได้อย่างถูกต้อง มีระเบียบปฏิบัติที่ชัดเจน มีกฎหมายรองรับการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงาน
2. การผลักดันภาคสังคม องค์กรภาคเอกชนและพลังมวลชนในสังคมควรร่วมมือกันผลักดันให้สถาบันการศึกษามีการดำเนินการเพื่อส่งเสริมให้นักเรียน นิสิต นักศึกษาในสถานศึกษา มีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจให้เหมาะสมกับปัจเจกบุคคล และผลักดันให้สถาบันการศึกษาเป็นผู้นำทางความคิดให้กับสังคมมากกว่าที่เป็นอยู่
3. การตระหนักแห่งตน สถาบันการศึกษาควรให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจควบคู่กับการสร้างความเข้มแข็งทางวิชาการและวิชาชีพให้กับนักเรียน นิสิต นักศึกษาในสถานศึกษา และในส่วนประชาชนแต่ละคนควรตระหนักและเตรียมพร้อมในการใช้ชีวิตกับสังคมที่มีความหลากหลายในความคิด ความเชื่อ ศรัทธาและศาสนา การเป็น บุคคลผู้มีศาสนาควรเป็นค่านิยมที่ประชาชนยึดถือและยอมรับความแตกต่าง อีกทั้งให้ความสนใจใฝ่รู้ในลัทธิ ความเชื่อ และศาสนาต่าง ๆ ในสังคม
นอกจากนั้นหน่วยงานทางพุทธศาสนาเช่น มหาเถรสมาคม ควรรีบเร่งดำเนินการพัฒนา พระสังฆาธิการที่มีหน้าที่ปกครองสงฆ์และบริหารจัดการพุทธศาสนา และ พระธรรมทูตที่สามารถสั่งสอนหรือเผยแผ่พุทธศาสนาอย่างมีคุณภาพ และควรดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อให้เพียงพอและทันกับความต้องการ ดังนั้นการจัดตั้ง สถาบันเผยแผ่พุทธศาสนาแห่งชาติจึงเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ต้องรีบดำเนินการ
สรุป
การนำศาสนาเข้าสู่สถาบันการศึกษาเป็นการพัฒนาความเข้มแข็งทางจิตใจให้กับพลเมืองของชาตินอกเหนือจากความเข้มแข็งทางวิชาการและวิชาชีพ การทำให้คนมีศาสนาเป็นการสร้างอารยธรรมให้แก่มนุษยชาติ และสามารถสร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้นในสังคมได้ ประเทศไทยมีกลไกในการดำเนินการเผยแผ่และธำรงรักษาพุทธศาสนาอย่างดีงามมาโดยตลอด แต่บางเวลาอาจไม่ต่อเนื่อง หรือบางครั้งอาจไม่เจตนาทำให้เกิดความเหินห่างระหว่างศาสนากับสถาบันการศึกษา เช่น การตัดคำว่า วัดออกจากชื่อของโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในที่ดินของวัดเป็นต้น ควรจัดให้มีสถานที่ประกอบศาสนกิจ หรือ ศาสนพิธีในมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาทุกประเภทและทุกระดับ สถาบันการศึกษาควรให้ความสำคัญในการพัฒนาความคิด ความเชื่อ ความศรัทธาและการนับถือศาสนาที่ถูกต้องและเหมาะสมมากขึ้น ถึงแม้จะมีความรู้สึกว่าทำตามอย่างสหรัฐอเมริกา แต่ถ้าพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ประเทศไทยนำศาสนาเข้าสู่สถาบันการศึกษาก่อนจะมีประเทศสหรัฐอเมริกาเสียอีก
รองศาสตราจารย์ ดร.กฤษมันต์ วัฒนาณรงค์
http://www.thairath.co.th/content/edu/164683
++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น