เพราะต้องยอมรับว่าโซเชียล เน็ตเวิร์ค ที่แข็งแรงที่สุดตอนนี้ คือ เฟซบุ๊ค คำบอกเล่าจาก "จิรัฐ บวรวัฒนะ" ประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท อิกไนท์ เอเชีย จำกัด บริษัทโฆษณาสัญชาติไทยที่มองโซเชียล เน็ตเวิร์ค เป็นหนึ่งในเครื่องมือหลักในการทำการตลาด
เขายังยอมรับว่า เครือข่ายสังคม หรือโซเชียล เน็ตเวิร์ค ที่เพิ่งเริ่มเกิดขึ้นมาจะเป็นสิ่งที่คงอยู่ตลอดไป แต่สิ่งที่จะเปลี่ยนคือรูปแบบ เช่น ในอดีตที่เคยมี "ไฮไฟว์" เป็นโซเชียล เน็ตเวิร์ค ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในไทย แต่ปัจจุบันกลายเป็น "เฟซบุ๊ค" ซึ่งมีรูปแบบการสื่อสารที่แตกต่างไปจากสิ่งที่เคยมีบนไฮไฟว์
ทั้งนี้ เนื่องจาก "โซเชียล เน็ตเวิร์คกิ้ง" เป็นเรื่องของพฤติกรรมในอนาคต และเป็นวิธีการสื่อสารของคนยุคใหม่ที่มีอินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลาง ทำให้โอกาสที่คนจะรู้จักกัน หรือสร้างสัมพันธ์กันมีได้มากขึ้นกว่าอดีต
จิรัฐ ยกตัวอย่างบริษัทตัวเอง "อิกไนท์ เอเชีย" ซึ่งได้เริ่มนำโซเชียล เน็ตเวิร์คกิ้ง เข้ามาเป็นเครื่องมือต่อยอดการตลาดตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยนำร่องทำเรียลลิตี้ เกมโชว์บนแพลตฟอร์ม โซเชียลมีเดียเป็นรายแรกในไทย หรือ "คลาสเมท 50" เจาะกลุ่มคอมมูนิตี้วัยรุ่น โดยมีเพจวิวมากกว่า 8-9 ล้านรายใน 3 เดือน จำนวนสมาชิกเกือบ 5 หมื่นราย และมียอดโหวตมากกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับรายการเรียลลิตี้ โชว์ ที่มีช่องทางการโฆษณาที่หลากหลายกว่าแล้วผลตอบรับดังกล่าวก็จัดอยู่ในขั้นที่ประสบความสำเร็จใช้ได้
"ความยากของเรื่องนี้ คือ ทำอย่างไรให้คนเชื่อในสิ่งที่เราพูด แต่แน่นอนว่า โซเชียล เน็ตเวิร์ค จะเป็นจุดที่ทำให้คนเกิดความเข้าใจว่าสิ่งที่เรากำลังคิด กำลังทำอยู่คืออะไร และเราก็ยังสามารถสื่อสารกับคนอื่นๆ หรือกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้น"
แต่ทั้งนี้ เขาก็ยอมรับว่า "โซเชียล เน็ตเวิร์คกิ้ง" ในปัจจุบันยังไม่ได้มีสถานะจะเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่สร้างรายได้โดยตรงได้ ซึ่งในแผนการทำโปรเจคถัดไปของอิกไนท์ หรือ "เอเชี่ยน คัฟเวอร์ แดนซ์ คอนเทสต์" ก็จะยังคงใช้เฟซบุ๊คเข้ามาเป็นหนึ่งในทัช พอยท์ หลักของแคมเปญนี้ ผสมผสานกับเว็บไซต์หลัก หรือ acdc.in.th
ทั้งนี้ เพื่อหาจุดศูนย์กลางให้วัยรุ่น หรือกลุ่มเป้าหมาย "วัยทีน" ที่มีอายุระหว่าง 12-16 ปี สามารถมารวมตัวหรือสื่อสารเรื่องที่สนใจเหมือนๆ กันได้ ซึ่งจากการสำรวจของบริษัทเองพบว่า เด็กกลุ่มนี้มีความเป็นโซเชียลสูงมาก และมีวัฒนธรรมที่ชื่นชอบชัดเจน หรือรักวัฒนธรรมเอเชีย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง "แบรนด์" หรือเจ้าของสินค้าและบริการกับ "ลูกค้า" หรือสมาชิกที่เข้ามาอยู่ในสังคมออนไลน์เดียวกัน
ผู้บริหารอิกไนท์ บอกว่า ปัจจุบันบริษัทมีรายได้ที่เห็นกันชัดๆ ส่วนใหญ่จากผู้สนับสนุน หรือสปอนเซอร์ผู้เป็นเจ้าของแบรนด์ต่างๆ เช่น โนเกีย หรือสก็อต เพียวเร่ ที่เป็นสปอนด์เซอร์หลักของโปรเจคปีนี้ แต่ก็ยังมีรายได้แบบ "อินไดเรค" หรือรายได้อ้อมๆ จากโซเชียล เน็ตเวิร์ค อีกพอสมควร ซึ่งสะท้อนได้จากจำนวนฐานข้อมูลสมาชิกที่มี และความสนใจของสมาชิกเหล่านี้ ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญที่ใช้สำหรับต่อยอดรายได้ในอนาคตจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายที่มากกว่านั้น คือ การพิสูจน์ว่าโซเชียล เน็ตเวิร์คกิ้ง เป็นหนึ่งในเครื่องมือการตลาดที่สำคัญ โดยการสร้างความแข็งแกร่งให้บริษัทสามารถเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ และกรุยทางเพื่อขยายผลความสำเร็จในตลาดต่างประเทศ
"เราวางโพสิชั่นตัวเองเป็นทั้งนักการตลาด และผู้พัฒนาแบบครอส มีเดีย ซึ่งการเริ่มคิดจากช่องว่างทางการตลาดที่มีอยู่ก็ถือเป็นทางหนึ่งที่จะนำไปสู่ความสำเร็จได้ ซึ่งปีนี้เราเองก็วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ๆ ไว้ทุกเดือน ครอบคลุมอยู่บนโซเชียล เน็ตเวิร์ค โดยเน้นเรื่องที่วัยรุ่นจะสนใจ ซึ่งมันไม่มีที่สิ้นสุด" ผู้บริหารอิกไนท์ เอเชียว่า
เขายังยอมรับว่า เครือข่ายสังคม หรือโซเชียล เน็ตเวิร์ค ที่เพิ่งเริ่มเกิดขึ้นมาจะเป็นสิ่งที่คงอยู่ตลอดไป แต่สิ่งที่จะเปลี่ยนคือรูปแบบ เช่น ในอดีตที่เคยมี "ไฮไฟว์" เป็นโซเชียล เน็ตเวิร์ค ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในไทย แต่ปัจจุบันกลายเป็น "เฟซบุ๊ค" ซึ่งมีรูปแบบการสื่อสารที่แตกต่างไปจากสิ่งที่เคยมีบนไฮไฟว์
ทั้งนี้ เนื่องจาก "โซเชียล เน็ตเวิร์คกิ้ง" เป็นเรื่องของพฤติกรรมในอนาคต และเป็นวิธีการสื่อสารของคนยุคใหม่ที่มีอินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลาง ทำให้โอกาสที่คนจะรู้จักกัน หรือสร้างสัมพันธ์กันมีได้มากขึ้นกว่าอดีต
จิรัฐ ยกตัวอย่างบริษัทตัวเอง "อิกไนท์ เอเชีย" ซึ่งได้เริ่มนำโซเชียล เน็ตเวิร์คกิ้ง เข้ามาเป็นเครื่องมือต่อยอดการตลาดตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยนำร่องทำเรียลลิตี้ เกมโชว์บนแพลตฟอร์ม โซเชียลมีเดียเป็นรายแรกในไทย หรือ "คลาสเมท 50" เจาะกลุ่มคอมมูนิตี้วัยรุ่น โดยมีเพจวิวมากกว่า 8-9 ล้านรายใน 3 เดือน จำนวนสมาชิกเกือบ 5 หมื่นราย และมียอดโหวตมากกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับรายการเรียลลิตี้ โชว์ ที่มีช่องทางการโฆษณาที่หลากหลายกว่าแล้วผลตอบรับดังกล่าวก็จัดอยู่ในขั้นที่ประสบความสำเร็จใช้ได้
"ความยากของเรื่องนี้ คือ ทำอย่างไรให้คนเชื่อในสิ่งที่เราพูด แต่แน่นอนว่า โซเชียล เน็ตเวิร์ค จะเป็นจุดที่ทำให้คนเกิดความเข้าใจว่าสิ่งที่เรากำลังคิด กำลังทำอยู่คืออะไร และเราก็ยังสามารถสื่อสารกับคนอื่นๆ หรือกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้น"
แต่ทั้งนี้ เขาก็ยอมรับว่า "โซเชียล เน็ตเวิร์คกิ้ง" ในปัจจุบันยังไม่ได้มีสถานะจะเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่สร้างรายได้โดยตรงได้ ซึ่งในแผนการทำโปรเจคถัดไปของอิกไนท์ หรือ "เอเชี่ยน คัฟเวอร์ แดนซ์ คอนเทสต์" ก็จะยังคงใช้เฟซบุ๊คเข้ามาเป็นหนึ่งในทัช พอยท์ หลักของแคมเปญนี้ ผสมผสานกับเว็บไซต์หลัก หรือ acdc.in.th
ทั้งนี้ เพื่อหาจุดศูนย์กลางให้วัยรุ่น หรือกลุ่มเป้าหมาย "วัยทีน" ที่มีอายุระหว่าง 12-16 ปี สามารถมารวมตัวหรือสื่อสารเรื่องที่สนใจเหมือนๆ กันได้ ซึ่งจากการสำรวจของบริษัทเองพบว่า เด็กกลุ่มนี้มีความเป็นโซเชียลสูงมาก และมีวัฒนธรรมที่ชื่นชอบชัดเจน หรือรักวัฒนธรรมเอเชีย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง "แบรนด์" หรือเจ้าของสินค้าและบริการกับ "ลูกค้า" หรือสมาชิกที่เข้ามาอยู่ในสังคมออนไลน์เดียวกัน
ผู้บริหารอิกไนท์ บอกว่า ปัจจุบันบริษัทมีรายได้ที่เห็นกันชัดๆ ส่วนใหญ่จากผู้สนับสนุน หรือสปอนเซอร์ผู้เป็นเจ้าของแบรนด์ต่างๆ เช่น โนเกีย หรือสก็อต เพียวเร่ ที่เป็นสปอนด์เซอร์หลักของโปรเจคปีนี้ แต่ก็ยังมีรายได้แบบ "อินไดเรค" หรือรายได้อ้อมๆ จากโซเชียล เน็ตเวิร์ค อีกพอสมควร ซึ่งสะท้อนได้จากจำนวนฐานข้อมูลสมาชิกที่มี และความสนใจของสมาชิกเหล่านี้ ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญที่ใช้สำหรับต่อยอดรายได้ในอนาคตจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายที่มากกว่านั้น คือ การพิสูจน์ว่าโซเชียล เน็ตเวิร์คกิ้ง เป็นหนึ่งในเครื่องมือการตลาดที่สำคัญ โดยการสร้างความแข็งแกร่งให้บริษัทสามารถเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ และกรุยทางเพื่อขยายผลความสำเร็จในตลาดต่างประเทศ
"เราวางโพสิชั่นตัวเองเป็นทั้งนักการตลาด และผู้พัฒนาแบบครอส มีเดีย ซึ่งการเริ่มคิดจากช่องว่างทางการตลาดที่มีอยู่ก็ถือเป็นทางหนึ่งที่จะนำไปสู่ความสำเร็จได้ ซึ่งปีนี้เราเองก็วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ๆ ไว้ทุกเดือน ครอบคลุมอยู่บนโซเชียล เน็ตเวิร์ค โดยเน้นเรื่องที่วัยรุ่นจะสนใจ ซึ่งมันไม่มีที่สิ้นสุด" ผู้บริหารอิกไนท์ เอเชียว่า
Tags : โซเชียล เน็ตเวิร์คกิ้ง
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
SmartKurve Education Services and SmartKurve (Thailand) Company Limited. Together with an expert team of Information Technology and academic veterans, her vision is to establish an institution where world class education, knowledge and innovation meet; thus the company was founded from these following principals.
Edknovate Language Institute and Edknovate (Thailand) Company Limited. Together with an expert team of Information Technology and academic veterans, her vision is to establish an institution where world class education, knowledge and innovation meet; thus the company was founded from these following principals.
Edknovate Language Institute and Edknovate (Thailand) Company Limited. Together with an expert team of Information Technology and academic veterans, her vision is to establish an institution where world class education, knowledge and innovation meet; thus the company was founded from these following principals.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น