เมื่อวันที่ 29 ส.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลง ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชทานพระบรมราชวโรกาส ให้นายนิตย์ พิบูลสงคราม รมว.ต่างประเทศ นำคณะเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ที่ปฏิบัติราชการอยู่ในต่างประเทศ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับพระราชทานพระบรมราโชวาท ในโอกาสที่กระทรวงการต่างประเทศจัดประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ไทยประจำ ปี 2550 ระหว่างวันที่ 27 ส.ค.-1 ก.ย. ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของภาษาไทย ที่แสดงให้เห็นถึงความมีอารยธรรมและความเจริญของชาติไทย แก่คณะเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ที่เข้าเฝ้าฯ ความตอนหนึ่งว่า
ท่านทูตคงกลุ้มใจที่คนที่ไปอยู่ต่างประเทศ บางทีไม่กี่วัน ไม่นานกลับมา พูดภาษาไทยไม่ได้ เพราะว่านึกว่าไปต่างประเทศนั้น ต้องไปเรียนรู้ ความไม่เป็นไทย ฉะนั้น ก็เห็นใจท่าน เพราะขอท่านเป็นทูตคนที่ไปต่างประเทศไม่กี่วัน แล้วก็ไปพบกับท่านทูต พูดภาษาไทยไม่ได้ แต่ว่าต่างประเทศ ฝรั่งไปพบท่านมาเมืองไทย ไม่นานกลับไปพูดภาษาไทยได้ อันนี้เราชอบกล ประหลาดมาก แต่ว่าต้องเข้าใจว่าคนที่ไม่ได้ไปต่างประเทศ แต่ก็ได้มีโอกาสไปต่างประเทศ ก็มีปมด้อย
คนไทยนั้น ส่วนใหญ่ไม่มีปมด้อย คนไทยมีความภูมิใจที่เป็นคนไทย เพราะว่าอยู่เมืองไทย เป็นคนไทย เขาได้สามารถศึกษาว่า เมืองไทย คนไทย มีความดี แต่ผู้ที่ไปต่างประเทศ นึกว่าเราขอพูดอย่างเดียวพวกที่ไปเมืองฝรั่ง ไม่ใช่พวกที่ไปเมืองแขก เมืองจีน แต่ว่าพวกที่เมืองฝรั่ง เพราะว่าเห่อว่าฝรั่งนี้เขาเจริญ ฝรั่งนี้เขาเจริญเพราะว่า บ้านเมืองของเขามีความก้าวหน้าหลายอย่าง คนไทยก็ เลยมีปมด้อย ว่าเรา ไหนว่าไม่มีความเจริญ ปัญหาที่เกิดขึ้นว่าจะทำอย่างไรสำหรับแก้ไข ก็เล่าให้ท่านฟังแล้วว่า ข้าพเจ้ามาเมืองไทย ไม่ได้ออกจากเมืองไทย มาเมืองไทยไม่รู้ภาษาไทย เราก็ออกไป อายุ 5 ขวบ กลับมาอายุ 11 ก็ไม่ค่อยรู้ภาษาไทย ที่จริงรู้ภาษาไทยก็โดยที่สมเด็จพระบรมราชชนนี ท่านไม่พูดภาษาฝรั่งกับเรา ท่านพูดภาษาไทย ก็เลยรู้ภาษาไทย แต่เขียนภาษาไทยไม่ค่อยได้ อ่านไม่ค่อยได้
ตอนอายุ 11 ก็ได้เรียนจนกระทั่งอายุ 18 ก็เขียนภาษาไทย อ่านภาษาไทยไม่ค่อยได้ มาอ่านภาษาไทยได้ทีหลัง แต่ก็มีวุฒิการความเป็นไทยนี้ลำบาก ก็พยายามที่จะเรียนภาษาไทย แต่พวกที่ไปแล้ว ไปหาท่านทูตก็พูดภาษาไทยไม่ชัดนั้นส่วนใหญ่ เขาก็รู้ภาษาไทย ออกไปสองสามวันลืมภาษาไทยแล้ว เพราะว่าเป็นคนที่ไม่ศึกษา วิธีที่จะทำ ท่านทูตก็คงต้องล้างสมองเขา วิธีที่จะปฏิบัติ ต้องล้างสมองเขาว่าประเทศไทยนี้ มีภาษาไทยมานานแล้ว มีวัฒนธรรมไทย มีนานกว่าต่างประเทศในยุโรปหลายประเทศ
ก่อนนี้ในต่างประเทศ ที่เขาเรียกว่ามิดเดิลเอจ มิดเดิลเอจ หมายความยุคกลาง ยุคที่ไม่เจริญ เมืองไทยนี้ยุคกลางของเราเจริญแล้ว เพราะถ้าอยากที่จะให้แก้ไข เราจะต้องศึกษายุคกลางของเราว่าเจริญแล้ว แล้วบอกกับพวกที่เขานึกว่าเมืองไทยไม่เจริญให้เข้าใจ แล้วก็ที่ประเทศไทยนี้มีภาษาไทย มีตัวอักษรไทย มาตั้งแต่สมัยที่เป็นยุคกลางของฝรั่ง ก็หมายความมิดเดิลเอจของฝรั่ง ของเราหลายร้อยปี มีภาษา มีตัวอักษร ของฝรั่งไม่มี เราไม่พูดถึงอเมริกา ไม่พูดถึงอาฟริกา แต่นี้ยุโรป ซึ่งเป็นประเทศที่ที่เจริญ แต่ตอนนั้นไม่ได้เจริญ เราเจริญก่อนที่เมืองไทยจะไม่เจริญ เพราะว่ามีคนอย่างอย่างพวกที่ไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเมืองไทยนี้เจริญมานานแล้ว วิธีที่จะทำคือยกย่องหรือต้องพยายามที่จะทำให้เข้าใจว่าเมืองไทยนี้เจริญมา นานแล้ว
วิธีที่จะปฏิบัติก็คือต้องสอนเขา เพราะว่าจากที่ศึกษาภาษาสันสกฤต ก็ศึกษาเท่าที่จะศึกษาได้ ศึกษามีหนังสือ ตัวอักษรของสันสกฤตเป็นอักษรที่ยาก ก็หมายความว่าเป็นอักษรโบราณเก่าแก่เป็นพันปี หมายความว่าเรามีความเจริญมานานแล้ว ไม่ใช่ด้อยพัฒนา แต่ว่าเรามีความพัฒนานี้ไม่หนัก เหมือนกับเด็กๆสมัยใหม่นี้ เด็กสมัยใหม่นึกว่าสมัยนี้ต้องภาษา จะต้องเรียกว่าสมัย ใหม่ ความจริงภาษาของสันสกฤตสมัยใหม่มาก แล้วก็การก่อสร้างเรียกว่าก่อสร้าง ตัวอักษรของเขามีหลายชั้น มีชั้นล่าง ชั้นกลาง ชั้นบน แต่ยาก ถึงลำบากที่จะรู้เรื่องภาษาสันสกฤตตัวอักษรยากมาก ฉะนั้นก็เลยคนไม่ค่อยจะเรียนรู้ เรียนรู้ยากมาก มีเป็นชั้นๆ แต่ว่าก็มีเหตุผลที่จะมีชั้นๆ เป็นภาษาที่ละเอียดอ่อนมาก ฉะนั้นถ้ามีใครมาทำท่าว่า คนไทยทำไมไม่เจริญ ไม่พัฒนา ก็เพราะไม่ได้เรียนเอง ไม่ได้เรียน ถ้าเรียนก็จะเห็นว่าคนไทยนั้นพัฒนามาก ไม่รู้สึกว่ามีปมด้อยว่าคนไทยไม่พัฒนา ที่จริงพัฒนามาก แต่ว่ามันไม่ออกมา ฉะนั้น ท่านทูตอยากอธิบายพวกที่มาว่าคนไทยไม่ก้าวหน้า ศึกษาภาษาไทยเอง ไม่ต้องถึงไปเรียนภาษาสันสกฤต ภาษาไทยเองก็เลยมีหลายชั้น ก็หมายความว่า ตัวอักษรต่างๆเรามีสูง สูงมาก แล้วก็ถ้าเรียนรู้ภาษาไทยก็รู้สึกน่าชื่นชมเสียงของภาษาไทยก็มีหลายเสียง เราจะเขียนภาษาฝรั่งเป็นภาษาไทยก็ได้มาก มากกว่าฝรั่งเขียนภาษาไทย ฉะนั้นก็ท่านไม่ต้องกลัว ท่านศึกษาต่อไป
ในโอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนที่ประสบอยู่ในขณะนี้ความว่า
ฝนเทียมนี้ทำไม่ใช่ง่ายๆ แต่ถ้าท่านทำแล้วนี้ ก็คงต้องศึกษา แต่มาตอนนี้แอฟริกา ถ้าต้องไปทำถึงแอฟริกา เราต้องกลุ้มใจเรื่องลิขสิทธิ์ ลิขสิทธิ์ที่จะทำ ข้าพเจ้าไม่ ได้อยากที่จะต้องเรียกค่าลิขสิทธิ์ แต่ว่าถ้าไปทำต้องเรียกค่าลิขสิทธิ์ เพราะไม่งั้น ต่างประเทศจะแอฟริกาจะเป็นฝรั่ง เอาเถอะต้องการลิขสิทธิ์ ต้องการแบ่งกำไร ที่จริงเรื่องฝนเทียมนี้ทำมาหลายสิบปีแล้ว ไม่เคยนึกถึงลิขสิทธิ์ มานึกตอนหลังนี้ ตอนหลังที่นึกถึงลิขสิทธิ์ ฝรั่งเอาเปรียบเรา แต่ว่าที่พูดถึงฝนเทียมนี้ ถ้าไม่นึกถึงลิขสิทธิ์ เราก็ทำมาได้นานแล้ว ไม่ได้ทำสำเร็จ
แต่ว่าปัญหาอีกอย่างที่ดูจะเป็นห่วง เรื่องมันสิ้นเปลือง ทำฝนหลวงสิ้นเปลืองพอสมควร บางทีก็จำเป็นที่จะใช้เทคนิคที่จะต้องสิ้นเปลือง แต่ว่ามันได้เกี่ยวข้องกับการทำได้ไม่ได้ ที่พวกท่านต้องการจะเลือกฝนหลวงนี้ กลุ้มใจที่ทำได้หรือไม่ได้ จะแก้ไข เรื่องที่จะทำให้อากาศเปลี่ยนแปลง ถ้าทำได้อยากจะเปลี่ยนแปลงอากาศอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น มีแต่สิ้นเปลือง และจะต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ ถึงเวลานี้ก็ไม่ได้อยากจะบอกว่า วิธีทำฝนเทียมนี้ ทำอย่างไร วิธีแก้ไข ที่จะให้อากาศเปลี่ยนแปลงทำอย่างไร ทำได้ ความจริงง่าย แต่ว่าเดี๋ยวก็ไปคิดถึงเรื่องลิขสิทธิ์ เรื่องผลประโยชน์ ก็เลยไม่อยากพูด ไม่อยากพูดในเรื่องผลประโยชน์ แต่ที่แอฟริกาเค้าอยากได้ ก็ส่งคนไป ไปถึงศึกษา ก็ทำได้ อยากจะทำก็ทำได้ แต่ว่าถ้าอยากถามใคร ให้ถามสมเด็จพระเทพ เพราะว่าสมเด็จพระเทพ ไปทั่วโลก
ที่มา : ไทยรัฐ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น