กรณี ที่มีนศ.บางสถาบันได้ใบประกาศนียบัตรบัณฑิต(ป.บัณฑิต) วิชาชีพครูมาโดยไม่โปร่งใส หรือแม้แต่การขายของปลอมกันว่อนเนตกำลังเป็นกระแสมาแรงของวงการการศึกษาไทย ในขณะนี้ ไม่เฉพาะหน่วยงานภาครัฐและสถานศึกษาทั้งของเอกชนและรัฐบาลเท่านั้นที่ตื่น ตัว แต่เหล่านักศึกษาด้วยกันก็เห็นว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นใน สังคมไทย
เปิ้ล(นามสมมติ) สาวศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งให้ความเห็นต่อข่าวที่เกิดขึ้นว่า เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง คนที่ไม่ได้เรียนครูมาโดยตรงจะทำงานด้านนี้ได้ยาก เพราะนอกจากสอนเด็กแล้ว ต้องทำงานเอกสารที่มีคำย่อและศัพท์เฉพาะค่อนข้างมาก จากกรณีข่าวที่มีคนซื้อป.บัณฑิตวิชาชีพครูของปลอมมานั้น
“คน ที่เขาซื้อใบปลอมมา ก็คือสามารถเข้าไปสอบบรรจุเป็นครูได้เลย ซึ่งมันไม่แฟร์สำหรับเรา เพราะเราเรียนยากมาหลายปีกว่าจะจบ และต้องลงไปฝึกงานตั้งแต่ปี 2 ถึงปี 5 อย่างปี 4 ต้องฝึกสอนในชั่วโมงวิชาการ โดยขอแบ่งเวลาการสอนจากชั้นเรียนนั้นๆ ส่วนปี 5 จะต้องฝึกสอนอย่างเต็มรูปแบบทั้งปี นอกจากนี้ยังมี Case Study เกี่ยวกับพฤติกรรมเด็กมาให้เราศึกษา เพื่อให้รู้ว่าหากเด็กมีพฤติกรรมแบบนี้ควรจะสอนแบบไหนให้เขาตั้งใจเรียนและ เข้าใจ” นศ.กล่าว
เปิ้ล เล่าต่อว่า เธอเรียนครูหลักสูตร 5 ปี เมื่อเรียนจบได้รับใบประกาศนียบัตรบัณฑิต(ป.บัณฑิต) วิชาชีพครู โดยที่ไม่ต้องสอบใหม่ แต่ตอนนี้หลักสูตรนี้ได้ยกเลิกไปแล้ว โดยนักศึกษารุ่นใหม่ที่จะเข้ามาเรียนครู จะเรียนหลักสูตร 4 ปี และหลังจากจบแล้วต้องเรียนเพิ่มอีก 1 ปี เพื่อสอบเอาใบประกาศนียบัตรบัณฑิต(ป.บัณฑิต) วิชาชีพครู ซึ่งการเรียนก็ยากมากในแต่ละหน่วย ดังนั้นคนที่ไม่ยอมลำบากอะไรเลยแล้วไปซื้อใบป.บัณฑิตปลอมมา ก็รู้สึกว่าได้มาง่ายไป และอาจจะเป็นครูที่ดีไม่ได้เพราะไม่ได้มีจิตวิญญาณของความเป็นครู
ส่วนสาเหตุที่เกิดปัญหานี้ เปิ้ล มองว่า เป็นเพราะอาชีพครูในยุคนี้มีการเพิ่มเงินเดือนให้มากขึ้น มีสวัสดิการที่ดี และมั่นคง หลายๆคนจึงอยากเปลี่ยนอาชีพมาเป็นครูเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงปลายเดือนเม.ย.นี้เป็นฤดูกาลในการสอบบรรจุเป็นข้าราชการครู คนที่อยากเป็นครูจึงเสาะแสวงหาใบป.บัณฑิต เพื่อเป็นวุฒิในการสมัครเป็นครู แต่ใจร้อนอยากได้แบบทางลัด ก็ไม่ยอมไปเรียนเพิ่ม 1 ปี แต่ใช้วิธีซื้อของปลอมมาใช้แทน และอีกประการหนึ่งมองว่าผู้ปกครองก็มีส่วน พ่อแม่หลายคนอยากให้ลูกรับราชการครู เพราะมีความมั่นคง แต่บุตรหลานไม่ได้เรียนสายอาชีพครูมาตั้งแต่ต้น
“คน ที่เขาซื้อใบปลอมมา ก็คือสามารถเข้าไปสอบบรรจุเป็นครูได้เลย ซึ่งมันไม่แฟร์สำหรับเรา เพราะเราเรียนยากมาหลายปีกว่าจะจบ และต้องลงไปฝึกงานตั้งแต่ปี 2 ถึงปี 5 อย่างปี 4 ต้องฝึกสอนในชั่วโมงวิชาการ โดยขอแบ่งเวลาการสอนจากชั้นเรียนนั้นๆ ส่วนปี 5 จะต้องฝึกสอนอย่างเต็มรูปแบบทั้งปี นอกจากนี้ยังมี Case Study เกี่ยวกับพฤติกรรมเด็กมาให้เราศึกษา เพื่อให้รู้ว่าหากเด็กมีพฤติกรรมแบบนี้ควรจะสอนแบบไหนให้เขาตั้งใจเรียนและ เข้าใจ” นศ.กล่าว
เปิ้ล เล่าต่อว่า เธอเรียนครูหลักสูตร 5 ปี เมื่อเรียนจบได้รับใบประกาศนียบัตรบัณฑิต(ป.บัณฑิต) วิชาชีพครู โดยที่ไม่ต้องสอบใหม่ แต่ตอนนี้หลักสูตรนี้ได้ยกเลิกไปแล้ว โดยนักศึกษารุ่นใหม่ที่จะเข้ามาเรียนครู จะเรียนหลักสูตร 4 ปี และหลังจากจบแล้วต้องเรียนเพิ่มอีก 1 ปี เพื่อสอบเอาใบประกาศนียบัตรบัณฑิต(ป.บัณฑิต) วิชาชีพครู ซึ่งการเรียนก็ยากมากในแต่ละหน่วย ดังนั้นคนที่ไม่ยอมลำบากอะไรเลยแล้วไปซื้อใบป.บัณฑิตปลอมมา ก็รู้สึกว่าได้มาง่ายไป และอาจจะเป็นครูที่ดีไม่ได้เพราะไม่ได้มีจิตวิญญาณของความเป็นครู
ส่วนสาเหตุที่เกิดปัญหานี้ เปิ้ล มองว่า เป็นเพราะอาชีพครูในยุคนี้มีการเพิ่มเงินเดือนให้มากขึ้น มีสวัสดิการที่ดี และมั่นคง หลายๆคนจึงอยากเปลี่ยนอาชีพมาเป็นครูเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงปลายเดือนเม.ย.นี้เป็นฤดูกาลในการสอบบรรจุเป็นข้าราชการครู คนที่อยากเป็นครูจึงเสาะแสวงหาใบป.บัณฑิต เพื่อเป็นวุฒิในการสมัครเป็นครู แต่ใจร้อนอยากได้แบบทางลัด ก็ไม่ยอมไปเรียนเพิ่ม 1 ปี แต่ใช้วิธีซื้อของปลอมมาใช้แทน และอีกประการหนึ่งมองว่าผู้ปกครองก็มีส่วน พ่อแม่หลายคนอยากให้ลูกรับราชการครู เพราะมีความมั่นคง แต่บุตรหลานไม่ได้เรียนสายอาชีพครูมาตั้งแต่ต้น
ขณะเดียวกัน ในมุมมองของนายกสโมฯ คณะศึกษาศาสตร์อย่าง "แบงค์" ชัยศิริ ศิริรัตน์ นัก ศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม แสดงความเห็นว่าเหตุการณ์ที่มีการซื้อใบประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครูปลอม ส่งผลกระทบต่อผู้ที่เรียนสายนี้ โดยเฉพาะด้านจิตใจเพราะรู้สึกว่าคนที่ทำแบบนี้เป็นการลักไก่หรือชิงตัดหน้า คนที่ตั้งใจเรียนในสายครูมา5 ปี เนื่องจากการเรียนการสอนก็ค่อนข้างเข้มงวด ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาศึกษาพฤติกรรมเด็ก เรียนรู้การสอน และการเขียนแผนต่างๆ ขณะเดียวกันก็ต้องลงไปฝึกสอนพร้อมกันด้วย ซึ่งคนที่ไม่ได้ฝึกสิ่งเหล่านี้แต่สามารถเป็นครูได้ก็ดูไม่ดีและง่ายเกินไป
"อัน ที่จริงมันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว พูดตรงๆคือมันเหมือนเป็นการขายความโง่ของตัวเองออกมา ถ้าอยากจะเป็นครูจริงๆทำไมไม่ใช้ความสามารถของตัวเองเข้าไปเรียน ถ้าคิดว่าตัวเองมีความรู้ก็น่าจะมาเรียนเองได้ หากอยากเป็นครูจริงๆ ก็น่าจะเข้าเรียนในสายนี้และทำตามขั้นตอนที่ถูกต้อง คือการเรียนครูก็เรียนยากพอสมควร บางทีคนที่ซื้อใบป.บัณฑิต วิชาชีพมาก็เหมือนว่าอยากมั่นคงในหน้าที่การงาน แต่ไม่ได้คำนึงถึงนักเรียนที่จะต้องไปสอนให้ความรู้ คือไม่ได้มีความเป็นครูตั้งแต่แรก" หนุ่มศึกษาศาสตร์เล่า
ทั้งนี้ แบงค์ยังมองถึงสาเหตุว่า ปัญหานี้เกิดขึ้นมาได้เพราะสถาบันศึกษาไม่เคร่งครัดมากพอ หากใครมีข้อเสนอที่ดีมีราคาสูง ก็สามารถซื้อไปได้ง่ายๆ และเสริมอีกว่าทางออกของปัญหาคือ กระทรวงศึกษาธิการหรือสถานศึกษาต่างๆต้องเข้มงวดในเรื่องนี้มากขึ้น หรือแม้แต่คุรุสภาเองก็ควรต้องตรวจสอบด้วยว่า ใบประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพเป็นของจริงหรือของปลอม หรือแม้ว่าเป็นของจริงแต่ได้มาด้วยวิธีการที่ถูกต้องหรือไม่
ด้าน “เคี่ยม” สุนิสา ไตรรัตน์ อาจารย์ โรงเรียนศรีธรรมราชศึกษา จ. นครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า ตนเป็นจบปริญญาตรี สาขาธุรกิจดนตรี วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ม.มหิดล จากนั้นศึกษาต่อ ป.บัณฑิต แขนงวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชอีก 1 ปี เพื่อรอรับวุฒิการศึกษาประกอบการยื่นขอใบอนุญาตปฏิบัติการสอนหรือขอใบประกอบ วิชาชีพครูได้ทันที
“ต้อง ยอมรับว่า เราตั้งใจจะเป็นครูตั้งแต่แรก จึงพยายามศึกษาต่อเพื่อรอรับวุฒิ ไปยื่นต่อครุสภา เพื่อขอใบประกอบวิชาชีพ ซึ่งมีขั้นตอนเข้มงวดและใช้เวลานาน3 เดือนกว่าจะได้ หลังจากนั้นก็ต้องสอบแข่งขันอีก ถือว่าเหนื่อยมาก แต่พอมีข่าวขายใบปริญญาครู รู้สึกหมดกำลังใจ เราพยายามและใช้เวลานานกว่าจะได้ใบประกอบวิชาชีพ แต่บางคนกลับใช้วิธีผิดๆ เพื่อเข้าทำหน้าที่ครู นอกจากคุณจะไม่ได้รับความภูมิใจในหน้าที่แล้ว คุณยังทำร้ายคนที่มีความตั้งใจ และมีความพยายามที่จะทำหน้าที่ครูจริงๆ” ครูมือใหม่เล่า
เคี่ยม บอกต่ออีกว่า หลังจากนี้นักศึกษารุ่นหลังๆ ที่กำลังจะครู คงต้องลำบากกว่าตน โดยเฉพาะช่วงการยื่นเอกสารขอใบประกอบวิชาชีพ ทางครุสภาคงเข้มงวดมากกว่าเดิมแน่นอน แม้ว่าปัญหาจะเกิดขึ้นกับบางคนก็จริง แต่ผลกระทบกลับส่งผลไปยังภาพรวม ไม่ว่าจะเป็นความเข้มข้นของหลักสูตร คุณภาพของแต่ละบุคคลที่จะทำหน้าที่ครู และอื่นๆ อีกมากมาย ที่จะส่งผลลบ ต่อจากนี้ไปน้องๆ รุ่นหลัง คงต้องใช้ความสามารถและความพยายามมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
"อัน ที่จริงมันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว พูดตรงๆคือมันเหมือนเป็นการขายความโง่ของตัวเองออกมา ถ้าอยากจะเป็นครูจริงๆทำไมไม่ใช้ความสามารถของตัวเองเข้าไปเรียน ถ้าคิดว่าตัวเองมีความรู้ก็น่าจะมาเรียนเองได้ หากอยากเป็นครูจริงๆ ก็น่าจะเข้าเรียนในสายนี้และทำตามขั้นตอนที่ถูกต้อง คือการเรียนครูก็เรียนยากพอสมควร บางทีคนที่ซื้อใบป.บัณฑิต วิชาชีพมาก็เหมือนว่าอยากมั่นคงในหน้าที่การงาน แต่ไม่ได้คำนึงถึงนักเรียนที่จะต้องไปสอนให้ความรู้ คือไม่ได้มีความเป็นครูตั้งแต่แรก" หนุ่มศึกษาศาสตร์เล่า
ทั้งนี้ แบงค์ยังมองถึงสาเหตุว่า ปัญหานี้เกิดขึ้นมาได้เพราะสถาบันศึกษาไม่เคร่งครัดมากพอ หากใครมีข้อเสนอที่ดีมีราคาสูง ก็สามารถซื้อไปได้ง่ายๆ และเสริมอีกว่าทางออกของปัญหาคือ กระทรวงศึกษาธิการหรือสถานศึกษาต่างๆต้องเข้มงวดในเรื่องนี้มากขึ้น หรือแม้แต่คุรุสภาเองก็ควรต้องตรวจสอบด้วยว่า ใบประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพเป็นของจริงหรือของปลอม หรือแม้ว่าเป็นของจริงแต่ได้มาด้วยวิธีการที่ถูกต้องหรือไม่
ด้าน “เคี่ยม” สุนิสา ไตรรัตน์ อาจารย์ โรงเรียนศรีธรรมราชศึกษา จ. นครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า ตนเป็นจบปริญญาตรี สาขาธุรกิจดนตรี วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ม.มหิดล จากนั้นศึกษาต่อ ป.บัณฑิต แขนงวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชอีก 1 ปี เพื่อรอรับวุฒิการศึกษาประกอบการยื่นขอใบอนุญาตปฏิบัติการสอนหรือขอใบประกอบ วิชาชีพครูได้ทันที
“ต้อง ยอมรับว่า เราตั้งใจจะเป็นครูตั้งแต่แรก จึงพยายามศึกษาต่อเพื่อรอรับวุฒิ ไปยื่นต่อครุสภา เพื่อขอใบประกอบวิชาชีพ ซึ่งมีขั้นตอนเข้มงวดและใช้เวลานาน3 เดือนกว่าจะได้ หลังจากนั้นก็ต้องสอบแข่งขันอีก ถือว่าเหนื่อยมาก แต่พอมีข่าวขายใบปริญญาครู รู้สึกหมดกำลังใจ เราพยายามและใช้เวลานานกว่าจะได้ใบประกอบวิชาชีพ แต่บางคนกลับใช้วิธีผิดๆ เพื่อเข้าทำหน้าที่ครู นอกจากคุณจะไม่ได้รับความภูมิใจในหน้าที่แล้ว คุณยังทำร้ายคนที่มีความตั้งใจ และมีความพยายามที่จะทำหน้าที่ครูจริงๆ” ครูมือใหม่เล่า
เคี่ยม บอกต่ออีกว่า หลังจากนี้นักศึกษารุ่นหลังๆ ที่กำลังจะครู คงต้องลำบากกว่าตน โดยเฉพาะช่วงการยื่นเอกสารขอใบประกอบวิชาชีพ ทางครุสภาคงเข้มงวดมากกว่าเดิมแน่นอน แม้ว่าปัญหาจะเกิดขึ้นกับบางคนก็จริง แต่ผลกระทบกลับส่งผลไปยังภาพรวม ไม่ว่าจะเป็นความเข้มข้นของหลักสูตร คุณภาพของแต่ละบุคคลที่จะทำหน้าที่ครู และอื่นๆ อีกมากมาย ที่จะส่งผลลบ ต่อจากนี้ไปน้องๆ รุ่นหลัง คงต้องใช้ความสามารถและความพยายามมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น