วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

อินเดียประสบความสำเร็จในการปล่อยดาวเทียม 3 ดวงขึ้นสู่วงโคจร

บังกาลอร์ 20 เม.ย.-อินเดียปล่อยจรวดนำดาวเทียม 3 ดวงขึ้นสู่วงโคจรในวันนี้
นับเป็นความพยายามล่าสุดในการเข้าไปมีส่วนแบ่งในตลาดอวกาศเชิงพาณิชย์ของโลก

ดาวเทียมรีซอร์ซแซท-2 ซึ่งเป็นดาวเทียมสำรวจทรัพยากร
เป็นดาวเทียมหลักที่ถูกปล่อยจากศูนย์อวกาศศรีหริโคตาในรัฐอานธรประเทศของ อินเดีย
เพื่อศึกษาผลกระทบของชีวิตมนุษย์ต่อแหล่งทรัพยากรธรรมชาติบนโลก นอกจากนี้ จรวดดังกล่าวยังนำดาวเทียมอินโด-
รัสเซีย สำหรับการศึกษาดวงดาวและชั้นบรรยากาศ รวมทั้งดาวเทียม
ซึ่งสร้างโดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางของสิงคโปร์ขึ้นสู่วงโครจรอีกด้วย

นายเค. ราธากริชนัน ประธานองค์การวิจัยอวกาศอินเดียเปิดเผยว่า ภารกิจรีซอร์ซแซท-2 ประสบความสำเร็จด้วยดี
หลังได้นำดาวเทียมทั้ง 3 ดวงขึ้นสู่วงโคจรเหนือพื้นโลกราว 822 กม. ทั้งนี้
ภารกิจดังกล่าวช่วยผ่อนคลายความกดดันด้านโครงการอวกาศของอินเดีย ซึ่งเผชิญความล้มเหลวครั้งใหญ่ในเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว
เมื่อยานปล่อยดาวเทียมเกิดระเบิดและร่วงลงในอ่าวเบงกอล หลังถูกปล่อยจากพื้นดิน.-สำนักข่าวไทย
http://www.mcot.net/cfcustom/cache_page/198306.html
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไอซีทีเร่งสรุปแสงอาทิตย์แรงทำไมไทยคมพังดวงเดียว

กรุงเทพฯ 22 เม.ย.-นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที)
กล่าวว่า ได้ประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่จากกระทรวงกลาโหม นักวิชาการมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร
เจ้าหน้าที่ กสท โทรคมนาคม บริษัท ทีโอที และบริษัทไทยคม เพื่อหาข้อสรุปเบื้องต้น
พบว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจนทำให้ไม่สามารถให้บริการสัญญาณดาวเทียมได้
เนื่องจากพลังงานแสงดวงอาทิตย์สูงขึ้นมากสุดในรอบ 11 ปี จึงต้องนำข้อมูลเชิงลึกไปวิเคราะห์เพื่อทราบสาเหตุให้ชัดเจนยิ่งขึ้นอีก
ครั้ง คาดว่าจะใช้เวลา 2-3 สัปดาห์สรุปความเสียหายดังกล่าว

ส่วนความเสียหายของช่องทีวีที่ไม่สามารถออกอากาศได้ ดาวเทียมไทยคมจะชดเชยตามเวลาที่ไม่ได้ออกอากาศ
ส่วนข้อสังเกตว่า มีบุคคลยิงสัญญาณรบกวนนั้นยังไม่ตรวจพบว่าเรื่องดังกล่าว ขณะที่ภาครัฐคงไม่กระทำเช่นนั้น จึงมีคำถามว่า

แสงอาทิตย์แรงทำไมไม่กระทบกับดาวเทียมดวงอื่นให้เสียหาย ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานครยอมรับว่า
คงไม่มีแรงจูงใจทำให้เกิดความเสียหาย เพราะดาวเทียมไทยคมจะเกิดความเสียหายอย่างมากหากดำเนินการดังกล่าว
ขณะที่เจ้าหน้าที่ดาวเทียมไทยคม กล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า ไม่ได้มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าให้ทราบ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์แล้ว
จึงต้องการตรวจสอบข้อมูลให้ละเอียด

ส่วนกรณีการสร้างดาวเทียมไทยคม 6 ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ด้วยการให้จัดสร้างดาวเทียมขึ้นใหม่และยิงส่งขึ้นอวกาศ ขณะนี้ได้ตั้งคณะกรรมการทางเทคนิคเพื่อพิจารณาการจัดสร้าง
จากนั้นจะส่งกลับไปยังคณะกรรมการตามมาตร 22 พ.ร.บ.ร่วมทุน เพื่อเสนอ ครม. พิจารณาอนุมัติให้บริษัทไทยคมจัดสร้างในปี
2556 เพื่อเป็นดาวเทียมสำรองไทยคม 5 เพราะคำพิพากษาระบุว่า
ดาวเทียมไอพีสตาร์เป็นดาวเทียมใหม่ไม่ใช่ดาวเทียมสำรองของไทยคม 5 ขณะนี้เหลืออายุสัมปทาน 8 ปี สิ้นสุดในปี 2564.-
สำนักข่าวไทย
http://www.mcot.net/cfcustom/cache_page/199395.html

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


เปิดประวัติ"มหาวิทยาลัยอีสาน" ก่อนถูกชี้ขายปริญญา สมบัติครอบครัว"แสวงการ" "ประจวบ ไชยสาส์น"นั่งนายกสภาฯ

"มหาวิทยาลัยอีสาน" กลายเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังขึ้นมาทันที หลังจากเมื่อช่วงเช้าวันที่
27 เม.ย. ที่ผ่านมา นายประจวบ ไชยสาส์น นายกสภามหาวิทยาลัยอีสาน
พร้อมด้วยคณะกรรมการสภา มหาวิทยาลัยได้เปิดแถลงข่าวถึงการออกมาระบุว่า
มีการซื้อขาย ใบประกาศนียบัตรบัณฑิต วิชาชีพครู หรือ ป.บัณฑิต
ของทางมหาวิทยาลัยอีสาน
ซึ่งผลของการตรวจสอบของคณะกรรมการที่สภามหาวิทยาลัยได้แต่งตั้งขึ้นนั้นพบ
ว่ามีมูลว่าผิดจริง

นายประจวบ กล่าวเพิ่มเติมว่า สภา มหาวิทยาลัยได้สั่งพักการปฏิบัติงานของ ดร.อัษฎางค์ แสวงการ อธิการบดีมหาวิทยาลัยอีสาน
ดร.นาคพล เกินชัย คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย นายทัศนะ เกตุมณี รองคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย น.ส.อนงลักษณ์ ชุมปลา

ผู้ช่วยฝ่ายทะเบียนบัณฑิตวิทยาลัย นายณัฎฐนันท์ บัวภา เจ้าหน้าที่ประจำบัณฑิตวิทยาลัย รวมไปถึงรองอธิการบดี ผู้ช่วยอธิการบดี
ทุกคนออกไปอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าการสอบสวนทางวินัยจะเสร็จสิ้น

พร้อม ทั้ง สภาได้มีมติแต่งตั้ง ศ.เกียรติคุณ ดร.สุมนต์ สกลไชย อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น
ปฎิบัติหน้าที่แทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยอีสาน โดยมีผลตั้งแต่วันนี้ (27 เม.ย.) เป็นต้นไป
พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน บุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

หลายคนยังงง และไม่เคยได้ยินว่า มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร..

"มหาวิทยาลัย อีสาน" ได้รับการสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)
กระทรวงศึกษาธิการ ให้เปลี่ยนประเภทจากวิทยาลัยบัณฑิตบริหารธุรกิจ
เป็น "มหาวิทยาลัยอีสาน" เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552 ที่ผ่านมา โดยมี ดร.อัษฏางค์
แสวงการ เป็นอธิการบดี

มหาวิทยาลัย แห่งนี้ พ.ต.ดร.อุดร แสวงการ และ ดร.จรรยา แสวงการ ผู้ก่อตั้ง
(บิดาและมารดา ดร.อัษฏางค์)ได้เริ่มตั้งไข่จากโรงเรียนอนุบาลยูงทองอุปถัมภ์ ในปี พ.ศ.
2517-2520

และในปี 2520-2525 ได้รับอนุญาตจัดตั้งโรงเรียนธุรกิจพานิณิชย์ศิลป์จัดการเรียนการสอนระดับ ปวช. นอกจากนี้
ในระหว่างปี 2520-ปัจจุบัน เปิดโรงเรียน "ขอนแก่นบริหารธุรกิจ" ได้รับรางวัลสถานศึกษาพระราชทานในปี พ.ศ. 2541
และได้รับการรับรองมาตรฐานการศึกษาจากกระทรวงศึกษาธิการในปี พ.ศ. 2541 ขณะที่ ดร.จรรยา มารดา และ ดร.อัษฏางค์
บุตรชาย ได้รับรางวัลผู้บริหารดีเด่น และรางวัลสถานศึกษาที่ได้มาตรฐานชั้นเยี่ยมในปี พ.ศ. 2538 รวมทั้งในปี 2525-ปัจจุบัน
ได้เปิดโรงเรียนสอนงานด้านฝีมือช่างต่าง ๆ ในชื่อ "โรงเรียนเทคโนโลยีธุรกิจอาชีวะ" ด้วย

มาถึงปัจจุบัน "มหาวิทยาลัยอีสาน" แห่งนี้ ได้เปิดสอนทั้งระดับปริญญาตรีและโท ในศูนย์การศึกษานอกสถานที่ตั้ง 4 แห่ง คือ
ศูนย์การศึกษา อ. สว่างแดนดิน จ. สกลนคร, อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี , อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู
และวิทยาลัยการพลศึกษาวิทยาเขตชัยภูมิ จ.ชัยภูมิ

ใน เว็บไซต์ยังระบุเพิ่มเติมว่า มีสาขาที่เปิดสอนอีก ประกอบด้วย คณะนิติศาสตร์ คณะบริหารธุรกิจ คณะศิลปศาสตร์
คณะนิเทศศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

นอกจาก นี้ ในเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย ระบุว่า สำนักงาน
ก.พ.ได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการรับรอบคุณวุฒิของสถาบันอุดมศึกษาในประเทศ ทางเว็บไซต์ของสำนักงาน ก.พ. ซึ่งสำนักงาน
ก.พ.ได้เพิ่มเติมการเปลี่ยนแปลงชื่อวิทยาลัยบัณฑิตบริหารธุรกิจเป็น มหาวิทยาลัยอีสานแล้ว ประกอบด้วย สาขาวิชานิติศาสตร์,
สาขาวิชานิเทศศาสตร์, สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์, สาขาวิชาการบริหารการศึกษา, สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ,
สาขาวิชาการจัดการ, สาขาวิชาการบัญชี, สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ, สาขาวิชาการจัดการอุตสาหกรรม

ส่วน"นาย อัษฏางค์ แสวงการ" อธิการบดีมหาวิทยาลัยนี้ จบการศึกษาจากวิทยาลัยครูเลย, วิทยาลัยบัณฑิตสกลนคร และ
Adumson University เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนเทคโนโลยีธุรกิจอาชีวะ,
ผู้อำนวยการโรงเรียนขอนแก่นบริหารธุรกิจและธุรกิจอาชีวะ, อุปนายกโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน,
เทศมนตรีเทศบาลนครขอนแก่น, คณะกรรมการ ศศ.ว.จ. ฝ่ายวิชาการ จ.ขอนแก่น,
คณะกรรมการสำนักงานประกันคุณภาพรับรองมาตราฐานโรงเรียนเอกชน, คณะกรรมการสมาชิกคุรุสภา
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน จ.ขอนแก่น, อธิการบดีวิทยาลัยบัณฑิตบริหารธุรกิจ

ดร.อัษ ฏางค์ ยังเคยดำรงตำแหน่ง สมาชิกวุฒิสภา จ.ขอนแก่น และเคยสมัครชิงตำแหน่งส.ส.เขต1 จังหวัดขอนแก่น
ในนามพรรคเสรีธรรม เมื่อปี พ.ศ. 2543

ขณะที่ กรรมการมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ประกอบด้วย
1. นายประจวบ ไชยสาส์น เป็นนายกสภามหาวิทยาลัย
2. นางอรุณี ม่วงน้อยเจริญ อุปนายกสภามหาวิทยาลัย
3. ศาสตราจารย์ไชยยศ เหมะรัชตะ กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
4. รองศาสตราจารย์สมนึก เอื้อจิระพงษ์พันธ์ กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
5. รองศาสตราจารย์ชูชาติ อารีจิตรานุสรณ์ กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
6. รองศาสตราจารย์ ดร. สมนต์ สกลไชย กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
7. รองศาสตราจารย์ ดร. เอกฉัท จารุเมธีชน กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
8. นางวันเพ็ญ แกล้วทนงค์ กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
9. นายวิชิต สุวรรณรัตน์ กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
10. นายโอภาส เขียววิชัย กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
11. ดร.สมเกียรติ แพทย์คุณ กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ

12. ดร.จรรยา แสวงการ กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
13. ดร.อัษฎางค์ แสวงการ กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
14. ดร.นาคพล เกินชัย กรรมการสภามหาวิทยาลัยคณาจารย์
15. พันตำรวจเอกวุติ ป้อมปักษา กรรมการสภามหาวิทยาลัยคณาจารย์และเลขานุการสภามหาวิทยาลัย

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า นายประจวบ ไชยสาส์น อดีตเลขาธิการพรรคชาติพัฒนา และอดีตรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย
ปัจจุบันเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยรามคำแหง

ทั้ง นี้ นายประจวบเป็นอดีตหัวหน้าพรรคเสรีธรรม ซึ่งเป็นพรรคที่ ดร.อัษฏางค์ เคยลงสมัครชิงตำแหน่งส.ส. ในจังหวัดขอนแก่น
ก่อนจะตัดสินใจยุบพรรคเสรีธรรม เข้ากับพรรคไทยรักไทย และรับตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย
ต่อมานายประจวบถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี หลับพรรคไทยรักไทยถูกยุบ พ.ศ. 2549

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?
newsid=1303890331&grpid=&catid=19&subcatid=1903
++++++++++++++++++++++++++++++++++

สกอ.ส่งกรรมการเทคโอเวอร์ ม.อีสาน

สั่งปรับอธิการบดี 2 แสนบาท ฐานไม่แยกทะเบียนบัณฑิตจริง-ปลอม

วันที่ 27 เม.ย.54 ผู้สื่อข่าวรายงาน
ความคืบหน้าการดำเนินคดีซื้อขายใบปริญญาบัตร
และประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู (ป.บัณฑิตวิชาชีพครู) ซึ่ง
ล่าสุด นายภาวิช ทองโรจน์ รองประธานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
(กกอ.).พร้อมด้วย นายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา
และ นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา
ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการการอุดมศึกษา นัดพิเศษ

โดยนายภาวิช กล่าวว่า ที่ประชุม กกอ.มีมติ 3 ประเด็น คือ
1.เสนอรัฐมนตรีให้มหาวิทยาลัยอีสาน จ.ขอนแก่น อยู่ในควบคุมคุมของ สกอ.
2.เสนอแต่งตั้งคณะกรรมการควบคุม เข้ามาบริหารมหาวิทยาลัยอีสานแทนผู้บริหาร
และสภามหาวิทยาลัย และ 3.เสนอลงโทษเปรียบเทียบปรับอธิการบดี จำนวน 2
00,000 บาท แยก เป็นกรณีอธิการบดี ไม่แยกทะเบียนบัณฑิตปกติกับบัณฑิตที่ซื้อขาย
ป.บัณฑิต จำนวน 100,000 บาท อีก 100,000 บาท
สกอ.พบว่าไม่ได้แจ้งการพ้นสภาพคณาจารย์ที่ขอเปิดหลักสูตรชุดเก่า
ซึ่งการตั้งคณาจารย์ชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ชุดเก่า จะต้องแจ้งให้ สกอ.ทราบ
ซึ่งมีความผิดตาม มาตรา 77

นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติเสนอรายชื่อคณะกรรมการควบคุม จำนวน 17
คน โดยมี นายสมนึก พิมลเสถียร อดีตรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
ที่ดูแลด้านการศึกษา เป็นประธาน นพ.กำจร เป็นเลขานุการและกรรมการ
และรายชื่อคณะกรรมการหลายท่านอยู่ในพื้นที่ จ.ขอนแก่น ทั้งนี้
จะนำรายชื่อคณะกรรมการควบคุมเสนอให้ นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ
ลงนามต่อไป

"คณะ กรรมการควบคุม
ซึ่งการควบคุมก็คือการเข้าไปล้มระบบการบริหารอธิการบดี รองอธิการบดี
สภามหาวิทยา คณาจารย์ และบุคลากรทั้งหมด ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
โดยคณะกรรมการควบคุมจะเข้ามาบริหารแทนบุคคลเหล่านี้ เพื่อไม่ให้สะดุด"
นายภาวิช กล่าว

http://www.siamrath.co.th/web/?q=node/54163
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

"ชินวรณ์" ยันสถาบันอาชีวะ4ภาคไม่ขัด ก.ม.

เปิดนโนบาย"แบรนด์อาชีวะสร้างชาติ"มุ่งพัฒนาผู้เรียนไปสู่มาตรฐานวิชาชีพ
และตลาดแรงงานสากล

วันที่ 27 เม.ย.54 นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า
ตามที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้เห็นชอบในหลักการร่างกฎกระทรวงเพื่อจัดตั้ง

สถาบันการอาชีวศึกษา4 ฉบับ ซึ่งเป็นการจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษานำร่อง ใน
4 ภูมิภาค ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอนั้น เป็นการจัดตั้งสถาบันใหม่
จากการปรับปรุงวิทยาลัยอาชีวศึกษาเดิม ตามมาตรา 14 แห่ง
พ.ร.บ.การอาชีวศึกษา พ.ศ.2551 ซึ่งมุ่งเน้นความเป็นเลิศเฉพาะทาง โดย
ครม.ให้ ศธ.ไปดำเนินการจัดทำแผนการจัดตั้งให้ชัดเจน เพื่อให้เป็นไปตาม
พ.ร.บ.การอาชีวศึกษา และให้สามารถเปิดรับนักศึกษาได้ในปีการศึกษา 2555 ทั้งนี้
การจัดตั้งสถาบันอาชีวศึกษาใหม่นี้ เป็นการจัดตั้งตามความจำเป็นเร่งด่วน

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อว่า ส่วน ที่เกรงว่าร่างกฎกระทรวง 4
ฉบับ นี้จะขัดกับร่างกฎกระทรวงการจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษา
ที่ผ่านคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(บอร์ด กอศ.) มาก่อนหน้านี้
คงไม่ขัดเพราะร่างฯ ดังกล่าวได้ถูกถอนออกไปแล้ว
อีกทั้งได้ผ่านความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะ
เป็นคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) สำนักงบประมาณ
และสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ต่างเห็นตรงกันว่าการจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษากลุ่มจังหวัด
โดยร่วมการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการจัดอาชีวศึกษา
นั้น เป็นแนวทางที่นำไปสู่การเสริมสร้างมาตรฐานคุณภาพ
การผลิตกำลังคนด้านอาชีวศึกษาให้มีเอกภาพ
และเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับการกระจายอำนาจ โดยระยะแรก
เห็นควรมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตกำลังคนด้านช่างเทคนิค
ช่างฝีมือให้มีคุณภาพและมีสมรรถนะเพิ่มขึ้น
เพื่อสนับสนุนการพัฒนาในกลุ่มจังหวัดและในระดับประเทศ

ด้าน น.ส.นริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ รมช.ศึกษาธิการ กล่าว
ถึงโครงการส่งเสริมภาพลักษณ์ของ สอศ.ว่า
นักเรียนอาชีวะเป็นกลุ่มสำคัญสำหรับผลักดันระบบเศรษฐกิจไทย
เปรียบเสมือนเพชรที่รอการเจียระไน แต่ปัญหาของอาชีวศึกษายังมีปัญหาอีกหลายด้าน
โดยโครงการนี้จะทำการปรับโฉมอาชีวะใหม่ โดยมุ่งพัฒนาใน 4 ด้านหลัก ประกอบด้วย
คุณภาพนักศึกษา ครูอาชีวะยุคใหม่ สถานศึกษา และการบริหารจัดการใหม่

"การปรับภาพลักษณ์ของการศึกษาอาชีวะ
ต้องเริ่มจากความเข้าใจของผู้เรียน ผู้ปกครอง และคนในสังคม โดยชี้ให้เห็นว่า
ช่างฝีมือ ไม่ได้เป็นเพียงความรู้พื้นฐานที่ทุกคนสามารถเรียนรู้เองได้
อย่างการทำอาหาร ซ่อมรถ เย็บผ้า ฯลฯ แต่ช่างฝีมือ
คือ ผู้ที่มีความรู้ในสาขาวิชาของตนเองอย่างถ่องแท้
สามารถใช้ในการประกอบอาชีพ
และต่อยอดสู่การเป็นเจ้าของกิจการหรือผู้ประกอบการในระดับ SMEs ได้
โดยมีจรรยาบรรณของสายอาชีพนั้นๆ คอยกำกับดูแล"

น.ส.นริศรา กล่าวและว่า ขณะเดียวกัน จะมีการผลักดันให้เกิดคุณวุฒิวิชาชีพภายใน
2 ปีนี้ เพื่อรับรองมาตรฐานให้แก่ผู้เรียนสายอาชีพทั้งในและนอกระบบ
ก้าวสู่มาตรฐานตลาดแรงงานสากล ต่อไปผู้ที่เรียนจบอาชีวศึกษาจะเป็นผู้มีคุณภาพ
มีรายได้ดี และเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานทั้งในและต่างประเทศ

http://www.siamrath.co.th/web/?q=node/54157
+++++++++++++++++++++++++++++++++

ศน.ใช้เฟซบุกปลุกเยาวชน5ศาสนาสามัคคี

คมชัดลึก : ศน.ปลุกเยาวชน 5 ศาสนาสามัคคี หวังใช้เฟซบุกเป็นสื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้

วันที่ 27 เม.ย. 2554 ที่อุทยานการเรียนรู้ วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(ศูนย์พัทยา) อ.บางละมุง
จังหวัดชลบุรี กรมการศาสนา(ศน.) กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) ร่วมกับองค์กร 5 ศาสนา จัดค่ายเยาวชนสมานฉันท์ ขึ้น
โดยนายจรูญ นราคร รองอธิบดีศน. กล่าวว่า ศน.ได้ร่วมกับองค์กรศาสนาต่างๆจัดกิจกรรมค่ายเยาวชนสมานฉันท์เป็นประจำทุกปี
เนื่องจากเห็นว่าเป็นวิธีการที่ทำให้เยาวชนที่นับถือศาสนาต่างกันได้มีโอกาสมาเรียนรู้วิถีชีวิตทางศาสนาที่แตกต่าง
พร้อมทั้งทำให้เยาวชนเห็นว่า เพื่อนต่างศาสนามีการปฏิบัติพิธีกรรมในชีวิตประจำวันอย่างไร รู้จักเพื่อนใหม่
ซึ่งเป็นหนทางแห่งการสร้างความรัก ความสามัคคีในหมู่เยาวชน โดยการดำเนินกิจกรรมค่ายเยาวชนสมานฉันท์
องค์กรศาสนาได้คัดเลือกเยาวชนแกนนำแต่ละศาสนา จำนวน 217 คน มาทำกิจกรรมร่วมกันตลอดระยะเวลา 3 วัน 2 คืน
ระหว่างวันที่ 27-28 เม.ย.

นายจรูญ กล่าวอีกว่า เยาวชนจะได้เรียนรู้การเคารพศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ การยอมรับในความแตกต่างหลากหลายทางเชื้อชาติ
ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม ความเสมอภาค ใน 3 ขั้นตอน คือ 1 กระบวนการสร้างปัญญา สร้างความรู้กับการยุติความรุนแรง
การเบียดเบียนซึ่งกันและกันความเข้าใจเกี่ยวกับหลักธรรมทางศาสนาที่ส่งเสริมความสมานฉันท์ ธรรมเนียมปฏิบัติ
พิธีกรรม ความเชื่อ 2.การสร้างจิตสำนึกการเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และ3. การนำไปปฏิบัติ
เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่จะทำให้เยาวชนไทยและสังคมไทย ได้ร่วมมือปลูกฝังค่านิยมความสมานฉันท์
รวมทั้งเป็นผู้นำในการประพฤติปฏิบัติที่แสดงออกถึงความสมานฉันท์จนเป็นวิถีชีวิตประจำวันและขยายต่อถือเพื่อนๆด้วย

“ทุกวันนี้สังคมไทยสามัคคีเฉพาะกลุ่มตัวเอง กลุ่มใครกลุ่มมัน ทะเลาะในเสื้อสีที่ต่างกัน ใส่ร้ายคนอื่น ไม่เคารพกฎหมาย
ไม่เคารพกติกาสังคม รวมทั้งไม่เคารพความคิดเห็นที่แตกต่างกันของคนอื่น จึงทำให้เกิดปัญหาความวุ่นวายเกิดขึ้นในสังคม ดังนั้น
ผมอยากให้เยาวชนที่มาร่วมอบรมนำความรู้ที่ได้รับไปถ่ายทอดให้เพื่อนในโรงเรียนได้รับรู้เข้าใจความหลากหลายทาง
ศาสนาของผู้อื่น ไม่มองว่า คนศาสนาอื่นเป็นศตรู รวมทั้งอยากให้ใช้เฟซบุก เป็นสื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องของศาสนา
และความแตกต่างระหว่างศาสนา จะช่วยให้สังคมไทยในอนาคตเป็นสังคมสมานฉันท์ต่อไป”รองอธิบดีศน.กล่าว
http://www.komchadluek.net/detail/20110427/

แก้ไขพ.ร.บ.รร.เอกชนผ่านฉลุย

ดร.วีรวัฒน์ วรรณศิริ นายกสมาคมโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า
หลังจากที่มีการผลักดันแก้ไขร่างพ.ร.บ.โรงเรียนเอกชนมากว่า 3 ปี ขณะนี้ ร่างพ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน
ฉบับแก้ไข ได้ผ่านวุฒิสภาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกำลังรอนำขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย
ดังนั้นเมื่อร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย
จะทำให้ปัญหาของโรงเรียนเอกชนทุกระดับตั้งแต่ปฐมวัยถึงอาชีวศึกษาที่เกิดจาก พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ.
2550 ได้รับการคลี่คลาย ซึ่งโรงเรียนเอกชนทั่วประเทศรู้สึกดีใจและขอขอบคุณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและ
สมาชิกวุฒิสภาทุกคนที่ให้การสนับสนุนการแก้ไขร่างกฎหมายฉบับนี้
ดร.วีรวัฒน์ กล่าวต่อไป สำหรับโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนจะได้รับผลดีจากร่างแก้ไขพ.ร.บ.ฉบับนี้
คือ โรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน จำนวน 426 โรง จะใช้คำว่า “วิทยาลัยอาชีวศึกษา” หรือ
“วิทยาลัยเทคโนโลยี”แทนคำว่าโรงเรียนได้ ซึ่งจะทำให้เกิดความเสมอภาคระหว่างสถานศึกษาอาชีวศึกษาของรัฐและเอกชน
เนื่องจากที่ผ่านมาการใช้ชื่อโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนสำหรับโรงเรียน อาชีวศึกษาเอกชนและใช้ชื่อวิทยาลัยเทคนิค
วิทยาลัยอาชีวศึกษา วิทยาลัยสารพัดช่าง วิทยาลัยการอาชีพ และอื่นๆ กับสถานศึกษาอาชีวศึกษาของรัฐ นั้น
ทำให้เกิดความแตกต่างทางสังคมและไม่สามารถสื่อกับผู้ปกครองได้ ซึ่งบางคนอาจมองว่าเรื่องชื่อไม่สำคัญ
แต่สำหรับตนเห็นว่าความแตกต่างดังกล่าว ทำให้เกิดแรงกดทางด้านนามธรรมต่อผู้บริหาร ครู

และนักเรียนอาชีวศึกษาเอกชนเป็นอย่างมากและมีความฝังใจอยู่ลึก ๆ ตลอดมา ดังนั้นการแก้ไข พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน
ได้สำเร็จน่าจะทำให้ขวัญกำลังใจของผู้บริหาร ครู และนักเรียนโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนดีขึ้นได้มาก.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?
page=content&categoryId=42&contentID=135422
++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ครม.ผ่านร่างกฎก.พ.อ.ปรับเงินเดือนคนอุดมฯ

นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อเร็ว ๆ นี้
ที่ประชุมได้อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.สถาบันวิทยาลัยชุมชน ตามที่ ศธ.ได้เสนอ ซึ่งการจัดตั้งสถาบันวิทยาลัยชุมชน
มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสถานศึกษาที่รองรับการจัดการศึกษาที่ต่ำกว่าระดับ ปริญญาตรี
รวมถึงการฝึกอบรมด้านวิชาการและวิชาชีพที่คำนึงถึงการประสานความร่วมมือ ระหว่างมหาวิทยาลัย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(อปท.) ชุมชน และองค์กรอื่น ๆ ที่สำคัญเพื่อสนองต่อความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นและชุมชนอย่างแท้จริง
รมว.ศธ.กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมยังได้อนุมัติร่างกฎคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดม
ศึกษา(ก.พ.อ.)ว่าด้วยการปรับเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนใน สถาบันอุดมศึกษา
โดยได้กำหนดให้ปรับเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดม ศึกษาตามที่กำหนดไว้ในบัญชีท้าย
และอนุมัติร่างกฎ ก.พ.อ.ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้รับเงินเดือน ตามที่
ศธ.เสนอทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับการที่ได้ปรับอัตราเงินเดือนขั้นต่ำขั้น
สูงของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ได้อนุมัติไปก่อนหน้านี้ โดยกฎ ก.พ.อ.ทั้ง 2 ฉบับให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1
เม.ย. เป็นต้นไป.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?
page=content&categoryId=42&contentID=135425
++++++++++++++++++++++++++++++++++

เผยข้อดีการมีกรอบคุณวุฒิ

จากการประชุมนานาชาติ เรื่องการพัฒนากรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ที่ โรงแรมพูลแมนคิงเพาเวอร์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่
27 เม.ย. โดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ร่วมกับองค์การร่วมมือทางการศึกษาต่าง ๆ และ
องค์การระหว่างประเทศรวม 17 ประเทศ นั้น ผศ.ดร.สืบแสง พรหมบุญ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ
กล่าวว่า ปัจจุบันนานาประเทศได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนา กรอบคุณวุฒิแห่งชาติ
ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนากำลังคนให้มีความรู้ความสามารถตรงตามความ
ต้องการของตลาดแรงงานทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ
เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้วยกระบวนการเทียบโอนประสบการณ์
มองเห็นถึงเส้นทางการเรียนรู้และความก้าวหน้าอย่างชัดเจน
และยังเป็นการส่งเสริมการประกันคุณภาพของระบบการศึกษาและบุคคลตามระดับ คุณวุฒิอีกด้วย ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญมาก

นายโช กวาง ชาง ผอ.ส่วนนโยบายและปฏิรูปการศึกษา สำนักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ กล่าวว่า
นานาชาติต่างกำลังยกระดับคุณวุฒิทางการศึกษาให้สามารถเทียบเคียงกันได้
ระหว่างวุฒิทางการศึกษาที่แต่ละคนสำเร็จกับมาตรฐานขั้นต่ำในแต่ละอาชีพที่ ตลาดแรงงานต้องการ
แต่จากประสบการณ์คิดว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเกี่ยวข้องกับบุคคลหลายฝ่ายโดยเฉพาะฝ่ายการศึกษาและภาคธุรกิจ
อุตสาหกรรมที่มีความต้องการหลากหลาย ดังนั้นประเทศ ต่าง ๆ จึงต้องพยายามหาฉันทามติจากทั้ง 2
กลุ่มในการกำหนดความรู้ความสามารถและทักษะของผู้สำเร็จการศึกษาที่ฝ่ายผู้ ใช้กำลังคนยอมรับได้.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?
page=content&categoryId=42&contentID=135427
++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ชะลอโครงการครูพันธุ์ใหม่6ปีเหตุใกล้ยุบสภาเข้าคร ม.ไม่ทัน

นายไชยยศ จิรเมธากร รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่ เมื่อเร็ว ๆ นี้
ที่ประชุมได้มีมติชะลอโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่ปริญญาตรีควบปริญญาโท 6 ปี
จากเดิมที่กำหนดว่าจะให้ดำเนินการในปีการศึกษา 2554 โดยให้เหตุผลว่าเนื่องจากสถาบันฝ่ายผลิตครูยังไม่มีความพร้อม
อีกทั้งจะมีการยุบสภาในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งจะมีผลให้ไม่สามารถนำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ทันรัฐบาลนี้
ดังนั้นที่ประชุมจึงมีมติให้การดำเนินการผลิตครูในปีการศึกษา 2554 เป็นการผลิตครูหลักสูตรครูระดับปริญญาตรี 5 ปี
และหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู (ป.บัณฑิตวิชาชีพครู) หรือ 4+1 ตามเดิม โดยให้มีการผลิตครูจำนวน 6,200
คน แยกเป็นการให้ทุนเรียนและประกันการมีงานทำ 2,400 คน แบ่งเป็น รับนักเรียนชั้น ม. 6 จำนวน 1,100 คน
ป.บัณฑิตฯ 1,300 คน ส่วนการประกันการมีงานทำ จำนวน 3,800 คน แยกเป็นรับนักเรียนชั้น ม.6 จำนวน 1,600 คน
รับนิสิตนักศึกษาที่จะขึ้นปี 4 จำนวน 1,000 คน และ หลักสูตร ป.บัณฑิตฯ จำนวน 1,200 คน

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาคุรุสภามีมติไม่รับรองหลักสูตร ป.บัณฑิตฯ ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม
2553 แต่เปิดช่องว่าสามารถขออนุมัติเปิดสอนได้จากคุรุสภาเป็นรายกรณีหากผู้ใช้ ต้องการให้ผลิต เช่น
สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
มีความต้องการครูอาจารย์ในสาขาต่าง ๆ เช่น สาขาช่างที่ขาดแคลน สาขาทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เป็นต้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จะเสนอไปยังคุรุสภาเพื่อขอผลิตหลักสูตร
ป.บัณฑิตฯเพื่อโครงการนี้ต่อไป แต่คณะกรรมการบริหารโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่
จะต้องเข้าไปประเมินก่อนว่าจะมีสถาบันใดบ้างที่สามารถผลิตหลักสูตร ป.บัณฑิตฯเพื่อโครงการนี้ได้
จากนั้นจึงจะเสนอต่อคุรุสภาเพื่อพิจารณาอนุมัติและแจ้งให้นักศึกษาทราบต่อไป

“ขอย้ำว่ามติการผลิตครูหลักสูตร 5 ปี และ ป.บัณฑิตฯนี้ เป็นมติเฉพาะกิจที่จะใช้ดำเนินการในปีการศึกษา 2554 เท่านั้น
ส่วนโครงการครูพันธุ์ใหม่ 6 ปี ก็ยังไม่ถือว่าล่ม เพราะจะดำเนินการในปีการศึกษา 2555
ซึ่งคิดว่าสถาบันฝ่ายผลิตครูน่าจะมีความพร้อม อย่างไรก็ตามสำหรับมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการนี้ที่ให้ทุนและ
ประกันการมีงานทำหรือประกันเฉพาะการมีงานทำนั้น ให้ดำเนินการสอนหลักสูตรครู 5 ปีได้ตามปกติ” นายไชยยศ กล่าว.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?
page=content&categoryId=42&contentID=135419
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

กินยา แอสไพรินในขนาดปริมาณน้อย ลดการเส่ียงหัวใจวาย

วารสาร​วิชาการ หทัย​วิทยา อเมริกันรายงาน​ว่า นัก​วิจัย​ศึกษา​พบ​ว่า​ยา​แอสไพริน​ใน​ปริมาณ​เล็กน้อย มี​สรรพคุณ​ลด​โอกาส​ที่​ทำให้​หัวใจ​วาย​น้อย​ลง​ได้ แต่​ดูเหมือน​ไม่ได้​ทอน​โอกาสที่​จะ​เกิด​เป็น​ลม​อัมพาต หรือ​เสีย​ชีวิต​ด้วย​โรค​ต่ำ​ลง​ได้

              นัก​วิจัย​อัล​เฟ​รด บาร์​ดท​ลุ​ค​ซี โรงเรียน​สาธารณสุข มหาวิทยาลัย​อลาบามา หัวหน้า​คณะ​ศึกษา บอก​แนะนำ​ว่า ผู้​ที่​คิด​จะ​ใช้​ยา​นี้​ป้องกัน​โรค​หัวใจ ควร​จะ​ปรึกษา​แพทย์​ดู​ก่อน เพราะ​เหตุ​ว่า​มัน​อาจ​ทำให้​เลือด​ออก​จาก​แผล​ง่าย​ขึ้น

              รายงาน​ ผล​การ​ศึกษา​กล่าว​ว่า ใน​การ​ศึกษา​จาก​จำนวน​ตัวอย่าง​ขนาด​ใหญ่ ยา​แอสไพริน​ช่วย​ลด​โอกาสของ​โรค​หัวใจ​และ​หลอด​เลือด และ​อาการ​กล้าม​เนื้อ​หัวใจ​ตาย​เนื่องจาก​ขาด​เลือด​ลง​ได้.

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทุนเรียนฟรีกับธนาคารกรุงเทพปี 2554

 ธนาคารกรุงเทพ มีความมุ่งหมายที่จะเป็นธนาคารที่ให้บริการด้านการเงินที่มีคุณภาพเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า เพื่อให้ธนาคารมีบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ ที่ทำให้ธนาคารสามารถแข่งขันทางธุรกิจ และเป็นผู้นำทางธุรกิจได้อย่างยั่งยืน ธนาคารจึงให้การสนับสนุนทุนการศึกษาสำหรับพนักงานและบุคคลทั่วไปมาอย่างต่อเนื่อง และในปี 2554 นี้
         
ธนาคารมีความประสงค์จะเปิดรับสมัครทุนการศึกษาระดับปริญญาโท  ทั้งสถาบันในและต่างประเทศ ตามมหาวิทยาลัยที่ธนาคารกำหนด

คุณสมบัติของผู้สมัคร
1 กรณีผู้สมัครเป็นบุคคลภายนอก
1) อายุไม่เกิน 28 ปีในวันที่สมัคร
2) ต้องมีสัญชาติไทย หากเป็นชาย ต้องผ่านการเกณฑ์ทหาร หรือได้รับยกเว้นการเกณฑ์ทหาร
3) สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี
4) ไม่เคยรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาล เว้นแต่เป็นความผิดที่เป็นลหุโทษ หรือความผิด อันได้
    กระทำโดยประมาท
5) เป็นผู้ที่มีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง
6) ได้รับการตอบรับในสาขาวิชาและสถาบันการศึกษาที่ธนาคารกำหนด
2 กรณีผู้สมัครเป็นพนักงานธนาคาร
1) มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่ระบุในหลักเกณฑ์ ข้อ 1) – 6)
2) อายุงานในธนาคาร อย่างน้อย 2 ปี
3) ผลการประเมินปฏิบัติงานอยู่ในระดับ A ขึ้นไปในปีล่าสุด
4) หัวหน้างานและผู้รับผิดชอบสายงาน ให้ความเห็นชอบว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมในการ สมัครรับทุน
รายละเอียดทุน     
1. ทุนในประเทศ (ภาคภาษาอังกฤษ) สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  จำนวน 5 ทุน
2. ทุนต่างประเทศ - สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, ญี่ปุ่น และจีน จำนวน 10 ทุน  
หลักฐานการสมัครขอรับทุน
1 กรณีผู้สมัครเป็นบุคคลภายนอก
1) ใบสมัครขอรับทุนธนาคาร
2) รูปถ่ายสี หน้าตรง ไม่สวมหมวก หรือแว่นตาดำ ขนาด 1 นิ้ว จำนวน 3 รูป
3) ประวัติส่วนตัว (Curriculum Vitae) เป็นภาษาอังกฤษ
4) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
5) สำเนาผลการศึกษาในระดับปริญญาตรี
6) สำเนาผลการสอบที่มหาวิทยาลัยกำหนด เช่น TOEFL, IELTS, GMAT, GRE
7) ใบตอบรับจากสถาบันการศึกษาที่ธนาคารกำหนด พร้อมทั้งรายละเอียดหลักสูตรและรายวิชา ที่มุ่งเน้น
    ประโยชน์และความสำคัญของเนื้อหาวิชา รวมถึงค่าใช้จ่ายในการศึกษา
8) หนังสือรับรองสำหรับสมัครขอทุนการศึกษาระดับปริญญาโทจากผู้บังคับบัญชา หรืออาจารย์ระดับ
    มหาวิทยาลัย (Recommendation Form) ตามแบบฟอร์มที่ธนาคารกำหนด จำนวน 2 ฉบับ
2 กรณีผู้สมัครเป็นพนักงานธนาคาร
9) หลักฐานการสมัครต่างๆ ตามข้อ 1)–8)
10) หนังสือรับรองจากหัวหน้างานเพื่อสนับสนุนการขอทุนการศึกษาระดับปริญญาโท จากผู้บังคับบัญชา
      ตามแบบฟอร์มที่ธนาคารกำหนด
เอกสารทุกฉบับให้เขียนรับรอง สำเนาถูกต้องและลงชื่อกำกับไว้ด้วย และผู้สมัครจะต้องตรวจสอบและรับรองว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนตรงตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด เมื่อคณะกรรมการคัดเลือกได้ตรวจสอบคุณสมบัติจากเอกสารและหลักฐานแล้ว ถ้าปรากฏในภายหลังว่า ผู้ใดมีคุณสมบัติไม่ตรงตามประกาศรับสมัครจะถือว่าขาคุณสมบัติทันที

สนใจสมัครได้ตั้งแต่บัดนี้- 15 พฤษภาคม 2554




ดูรายละเอียดได้ที่ ธนาคารกรุงเทพ หัวข้อ งานกับธนาคาร
เลือก ทุนธนาคารกรุงเทพ (
http://www.bangkokbank.com/Bangkok%20Bank%20Thai/About%20Bangkok%20Bank/About%20Us/Careers/Pages/Bank%20Scholarship.aspx) หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที พัฒนาและเตรียมผู้บริหารกลุ่มงานนักเรียนทุน โทร. 0-2685-7480 หรือ 0-2685-7842  E-mail: thantita.sat@bbl.co.th หรือ puntip.ler@bbl.co.th


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เมื่อผู้รู้ระบุ "โฮมสคูล" มีปัญหา

 จากความล้มเหลวของระบบการศึกษาไทย ที่ไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐมนตรีมากี่หน้า เปลี่ยนรัฐบาลมากี่ยุค ก็ยังไม่มีใครมีความตั้งใจจริงมากพอที่จะแก้ไขปัญหานี้ให้กับประชาชนได้ เชื่อว่าคงทำให้คุณพ่อคุณแม่ส่วนหนึ่งหันไปสนใจการจัดการเรียนการสอนแบบ "โฮมสคูล" กันมากขึ้น พร้อม ๆ กับความหวังว่าจะทำให้ลูก ๆ มีโอกาสเรียนรู้ในสิ่งที่เหมาะสม และสอดคล้องกับความต้องการของเด็กได้มากกว่าการเรียนการสอนในระบบปัจจุบัน
      
       
ทว่า ปัญหาของการจัดการศึกษาแบบโฮมสคูลเองก็มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการจดทะเบียนที่ยุ่งยาก ขาดการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ จากภาครัฐ ตลอดจนขาดความรู้ความเข้าใจจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทำให้รูปแบบการเรียนการสอนดังกล่าว ไม่อาจประสบผลสำเร็จได้ดังที่คาด
      
       
นายชาตรี เนาวธีรนนท์ นายกสมาคมบ้านเรียนไทย เปิดเผยในเวทีสัมมนาเรื่อง ก้าวแรกและก้าวใหม่ ก้าวอย่างไร สู่บ้านเรียนว่า การจัดการศึกษาแบบโฮมสคูล ยังมีปัญหาและอุปสรรคเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะปัญหาที่ต้องจัดหลักสูตรการศึกษา การประเมินผล ตามมาตรฐานที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด ซึ่งถือเป็นอุปสรรคอย่างมาก เพราะการจัดศึกษาของทั้งสองระบบมีความแตกต่างกัน จึงควรให้มีความยืดหยุ่นมากกว่านี้
      
       
นอกจากนี้ครอบครัวที่จัดการศึกษาทางเลือกยังไม่ได้รับสิทธิประโยชน์จากกระทรวงศึกษาธิการ อาทิ เงินอุดหนุนที่ยังน้อยเกินไป ทั้ง ๆ ที่การจัดการศึกษาแบบโฮมสคูลนั้นมีค่าใช้จ่ายสูง และถือเป็นการช่วยลดภาระของรัฐบาล อีกทั้งการสนับสนุนแหล่งเรียนรู้ในระบบ เช่น ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ ฯลฯ ยังไม่เพียงพอ หากเด็กจะขอเข้าไปใช้บริการ ต้องมีการทำหนังสือขออนุญาต ทำให้หลายครอบครัวต้องไปแสวงหาแหล่งเรียนรู้ที่อื่นเอาเอง จึงอยากให้รัฐบาลเข้ามาดูแลในส่วนนี้ด้วย
      
       
ปัจจุบันมีครอบครัวที่ขอจดทะเบียนจัดการศึกษาแบบโฮมสคูล ต่อสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาตามกฏกระทรวงการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยครอบครัว พ.ศ.2547 จำนวน 101 ครอบครัว มีนักเรียนจำนวน 203 คนเท่านั้น ซึ่งเชื่อว่าหากสามารถปรับแก้ความยุ่งยาก และอุปสรรคต่าง ๆ ให้หมดไปได้ ในอนาคตจะมีครอบครัวใหม่ๆ ที่สนใจจะจัดการศึกษาเองเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก
      
       
ด้านนางสุทธศรี วงษ์สมาน รองเลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวยอมรับว่าการดำเนินการขอจดทะเบียนจัดการศึกษาโดยครอบครัว มีขั้นตอนที่ยุ่งยาก ผู้ขอจำเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อม ในการจัดทำแผนการศึกษา มีการวัดผล ประเมินผลตามมาตรฐานของกระทรวงฯ ซึ่งสภาการศึกษาจะนำปัญหาต่าง ๆ ไปพัฒนาปรับปรุงเพื่อลดความยุ่งยาก ผู้ปกครองสามารถจัดการศึกษาได้ด้วยตนเอง ทั้งนี้ปัจจุบันมีหลายครอบครัว ที่ประสบความสำเร็จ เด็กสามารถเข้าเรียนต่อในระดับสูงเป็นจำนวนมาก
      
       “
เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องสนับสนุนให้มีการจัดการศึกษาทางเลือก ไม่จำเป็นต้องมีแค่การศึกษาในระบบ ซึ่งการศึกษาโดยครอบครัว มีจุดเด่นที่ผู้สอน หรือผู้ปกครอง จะมีความใกลชิดกับเด็กมากที่สุด สามารถฝึกให้เด็ก เรียนรู้ ฝึกคิด วิเคราะห์ด้วยตัวเอง ได้ง่ายกว่าการเรียนในห้องสี่เหลี่ยม และยังช่วยให้สามารถดึงศักยภาพของเด็กออกมาได้อย่างเต็มที่ เพราะผู้ปกครองจะรู้ว่าเด็ก มีความสามารถ จุดเด่น ตรงไหน อย่างไร เพื่อส่งเสริมพัฒนาศักยภาพตรงนั้นได้อย่างเต็มที่นางสุทธศรี กล่าว
      
       
ด้านนางปทุมรัตน์ เหรียญไพศาล รองผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า มีการร้องเรียนจากครอบครัวที่ต้องการจัดการศึกษา และที่ต้องการให้กระทรวงศึกษาธิการปรับปรุงแก้ไข ได้แก่ ปัญหาเรื่องหลักสูตรการเรียนการสอนที่กำหนดไว้ ไม่สอดคล้องกับกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน ปัญหาการจัดประเมินผลผู้เรียนที่ยังขาดความยืดหยุ่น ปัญหาการเทียบโอนผลการเรียน และปัญหาการให้บริการจัดการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่ยังขาดความเข้าใจ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการจะได้นำปัญหาไปทำแผนพัฒนานโยบายปรับปรุงต่อไป นอกจากนี้ยังต้องพัฒนาระบบการรองรับเด็กนักเรียนที่มาจากระบบการศึกษาทางเลือกและมีความประสงค์จะเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ระดับอาชีวะ เพื่อส่งให้เด็ก ไปถึงจุดสูงสุดที่เขาจะไปได้
      
       
อย่างไรก็ตามผู้ปกครองที่มีความประสงค์จะจัดการศึกษาด้วยตัวเองให้กับเด็ก แต่กลัวว่าจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์จากกระทรวงศึกษาธิการ อาทิ เงินอุดหนุนรายหัว เครื่องแบบนักเรียน อุปกรณ์นักเรียน หนังสือเรียน หรือกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เหมือนกับเด็กนักเรียนในระบบทั่วไปนั้น นางปทุมรัตน์ยืนยันว่าเด็กทุกคนจะได้รับสิทธิประโยชน์เช่นดียวกัน โดยผู้ปกครองสามารถติดต่อขอรับสิทธิ์ดังกล่าวได้ที่สำนักงานเขตการศึกษาในพื้นที่
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

นักวิทย์ระบุ"โอโซน"ขั้วโลกบางกว่าทุกปี

จากการระบุของหน่วยงานด้านสภาพอากาศ องค์การสหประชาชาติ พบว่า ชั้นบรรยากาศโอโซน บริเวณขั้วโลกเหนือหรือทวีปอาร์กติก ซึ่งทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต จากดวงอาทิตย์มาสู่โลกนั้น มีความบางเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 40 เมื่อฤดูหนาวที่ผ่านมา

ชั้นบรรยากาศของขั้วโลกเหนือที่ถูกทำลายนั้น มีความต่างจากรูรั่วโอโซนที่ขั้วโลกใต้ ซึ่งไบรอัน จอห์นสัน นักเคมีบรรยากาศจากห้องปฏิบัติการจัดการด้านมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศ แห่งสหรัฐอเมริกา ในเมืองโบลเดอร์ รัฐโคโลราโด กล่าวว่า "มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหัน และผิดปกติ อย่างไรก็ตาม โอโซนในขั้วโลกเหนือยังคงมีปริมาณที่มากกว่าพื้นที่ส่วนอื่นอย่างบริเวณเส้นศูนย์สูตร"

"
กรณีการลดลงของโอโซนในบริเวณอาร์กติกนี้ จะส่งผลกระทบต่อผู้คนที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือ ทั้งไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ และชายฝั่งภาคเหนือของรัสเซีย ประชาชนควรระมัดระวัง เมื่อต้องออกนอกบ้าน ด้วยการทาโลชั่น และสวมแว่นกันแดด" จอห์นสัน กล่าว

การศึกษาพบว่าช่วงปลายเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา การบางลงของโอโซน ได้เคลื่อนตัวออกจากขั้วโลก ย้ายไปปกคลุมบริเวณประเทศกรีนแลนด์ และแถบสแกนดิเนเวียแทนแล้ว ส่วนความกังวลถึงสภาวะโลกนั้น หากเหตุการณ์นี้ยังคงเกิดขึ้นในทุกๆ ปี แม้โอโซนจะสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ แต่ทิศทางการลดลงของมัน ก็จะปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง

ด้านตัวแทนนักวิทยาศาสตร์จากองค์การสหประชาชาติ ได้อธิบายถึงภาวะโอโซนในอาร์กติกเบาบางลงว่าการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศที่อาร์กติกเคยประสบในช่วงฤดูหนาวครั้งก่อนๆ นั้น บางครั้งแทบไม่ปรากฏการลดลงของโอโซนให้เห็นเลย แต่ในปีนี้ อาร์กติกมีฤดูหนาวที่อบอุ่นกว่าทุกครั้ง แต่ในชั้นสตราโตสเฟียร์กลับเย็นกว่าปกติ และชั้นบรรยากาศที่บางลงครั้งล่าสุดนี้ แม้ถือเป็นประวัติการณ์ แต่ไม่อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ซะทั้งหมด เพราะการตรวจพบโดยดาวเทียมสำรวจ และลูกโป่งพยากรณ์อากาศนั้น ได้แสดงให้เห็นถึงตำแหน่งของพื้นที่ที่มีการลดลงของโอโซนไว้ได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาต่อไป

นับว่าเป็นโชคดี ที่ในช่วงต้นยุค 70 เหล่านักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาเตือนถึงอันตรายในประเด็นนี้ ทำให้ทั่วโลกเล็งเห็นความสำคัญ และร่วมกำหนดสนธิสัญญามอนทรีออล เพื่อพิจารณาการเลิกใช้สารซีเอฟซี ในสินค้าอุตสาหกรรม ซึ่งสารประกอบดังกล่าวสามารถสะสมอยู่บนชั้นบรรยากาศได้นาน ต้องใช้เวลาเป็นสิบปีจึงจะสลายตัว
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++