“มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์” (ม.อ.)
นับเป็นสถาบันการศึกษาที่มีความใกล้ชิดกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีการพัฒนาทั้งด้านเศรษฐกิจและการศึกษา เช่น ประเทศมาเลเซีย
ซึ่งส่งผลดีต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ในระดับมหาวิทยาลัย ทั้งความร่วมมือทางวิชาการและทางด้านศิลปวัฒนธรรม
เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันระหว่างบุคลากรและนักศึกษาของมหาวิทยาลัยทั้งสองประเทศ
ซึ่งต่างก็เป็นประเทศสมาชิกของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยกัน
โดยความร่วมมือได้พัฒนาจากวิทยาเขตใหญ่สู่วิทยาเขตปัตตานี และวิทยาเขตหาดใหญ่ สู่วิทยาเขตน้องใหม่อย่างเช่น วิทยาเขตตรัง
ในระหว่างปิดภาคการศึกษาภาคฤดูร้อนปีการศึกษา 2553 มหาวิทยาลัยได้ส่งนักศึกษาจากวิทยาเขตตรัง จำนวน 35
คน และ นักศึกษาจากคณะนิติศาสตร์ จำนวน 20 คน เข้าร่วมโครงการ Study Abroad ณ Universiti Malaya
ประเทศมาเลเซีย เพื่อกระตุ้นให้นักศึกษาได้เรียนรู้การใช้ชีวิตเพื่อปรับทัศนคติที่เป็นสากลเช่นเดียวกับทักษะภาษาต่างประเทศ
อีกทั้งจะช่วยให้นักศึกษาเรียนรู้โลกกว้างและเติบโตขึ้นเป็นบุคลากรที่สามารถเข้าสู่การแข่งขันในระดับนานาชาติ
“ปาณิสา วัฒนากิจจากุล” นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะพาณิชยศาสตร์และการจัดการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
วิทยาเขตตรัง หนึ่งในตัวแทนนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ กล่าวว่า อยากจะเข้าร่วมโครงการนี้มาก
ก่อนที่จะจบการศึกษาและออกไปสมัครงาน จึงต้องเลือกที่จะมาหาประสบการณ์ทางด้านภาษา แม้จะเจอปัญหาอุปสรรคบ้าง
ในเรื่องหอพัก แต่ในเรื่องการเรียนจะประทับใจอาจารย์ผู้สอน และทำให้รู้ว่าภาษาสำคัญมาก
“ที่มาเลเซียทุกคนจะพูดได้ 2-3 ภาษา ได้แก่ ภาษาอังกฤษ ภาษาบาฮาซามลายู และภาษาจีน
ทำให้อยากที่จะฝึกฝนและพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้ามากขึ้น อาจารย์ผู้สอนเน้นย้ำว่าอย่าทิ้งภาษาที่เรียนไป ต้องพัฒนาตนเองไปเรื่อย
ๆไปถึงขั้นสูงสุด นั่นเป็นกำไรชีวิตที่จะเรียนรู้ มาเลเซียมีหลายเชื้อชาติทำให้เราได้เปรียบในเรื่องภาษา ที่จะสื่อสารด้วย
ที่มาเรียนเราจะกังวลเรื่องของไวยากรณ์กลัวว่าจะพูดผิด ทำให้ไม่กล้าพูด แต่ที่นี่เขาไม่สนใจ ในชั้นเรียนจะแบ่งเป็น
2 กลุ่มแต่ละกลุ่มจะมีนักศึกษาเกาหลี 4 คน เข้าเรียนด้วย ทำให้เราสามารถเปรียบเทียบในเรื่องการเรียนได้
ว่านักศึกษาเกาหลีจะมีทักษะมากกว่า สามารถสื่อสารได้เลย แต่เรายังต้องแปลก่อน”
ปาณิสา เผยว่า ในชั้นจะเรียนเกี่ยวกับการสัมภาษณ์งาน การกรอกใบสมัครงาน เทศกาลต่างๆ การพูดเมื่อออกสังคม
แนะนำตนเอง อาจารย์จะถามนักศึกษาไทยว่า เรียนภาษาอังกฤษเมื่อใด อายุเท่าไหร่ หนึ่งสัปดาห์เรียนภาษากี่ชั่วโมง
เรียนเกี่ยวกับอะไร ที่นี่ไม่ได้สนใจไวยากรณ์ แต่เน้นที่การสื่อสารกันแล้วเข้าใจ
ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ 16-19 เมษายน 2554 ที่ผ่านมา นายชวน หลีกภัย
ในฐานะกรรมการสภามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ผู้ทรงคุณวุฒิ ทูตไทยประจำกรุงกัวลาลัมเปอร์
พร้อมด้วยคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อาทิ รศ.ดร.บุญสม ศิริบำรุงสุข อธิการบดี อาจารย์พิชิต
เรืองแสงวัฒนา รองอธิการบดี รศ.ดร.ธวัช ชิตตระการ รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา รศ.ดร.ฉัตรไชย รัตนไชย
รองอธิการบดีฝ่ายบริการวิชาการและวิเทศสัมพันธ์ รศ.ดร.ปิติ ทฤษฎิคุณ รองอธิการบดีวิทยาเขตตรัง และผศ.พักตรา คูบุรัตถ์
คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์ เยือนประเทศมาเลเซีย เพื่อเข้าเยี่ยมนักศึกษาโครงการ
Study Abroad ณ Universiti Malaya
นายชวน หลีกภัย กล่าวกับนักศึกษาที่เข้าพบว่า การใช้ชีวิตประจำวันของนักศึกษาไม่ได้มีการใช้ภาษาอังกฤษเลย
รู้ว่ายาก ต่างกับภาษาไทย ซึ่งภาษาไทยเป็นภาษาที่สมบรูณ์ที่สุด ไม่ได้ยืมคำศัพท์ของภาษาอื่น การสื่อสารของนักศึกษา
ทั้งการพูดและการเขียนเป็นภาษาไทย ไม่ว่าหนังสือราชการก็เป็นภาษาไทย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์
ทำให้เราไม่ได้นำภาษาอังกฤษมาใช้ในชีวิตประจำวัน นอกจากว่าเราจะสนใจและชอบพัฒนาตนเอง จะแตกต่างกับประเทศอื่น
แม้เขาจะมีภาษาที่เป็นภาษาของตนเองแต่จะใช้ภาษาอังกฤษเป็นตัวสะกด เช่น เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย เป็นต้น
เพราะฉะนั้นเราจะเสียเปรียบมาก
“จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่คิดมาตลอดว่า ทำไมไม่ใช้โอกาสที่เรามีอยู่กับเพื่อนบ้านที่ดี เช่น มาเลเซียมาทำโครงการร่วมกัน
เพื่อจะให้นักศึกษาของเราได้มาฝึกฝน ใช้ชีวิตกับนักศึกษาต่างชาติ สิ่งสำคัญเราจะฟันฝ่าปัญหานี้ไปได้อย่างไร
ขอให้เข้าใจว่า นั่นคืออุปสรรคทำให้เราได้มุมานะ ถ้าเราฝ่าสิ่งนี้เหล่านี้ไปได้
คนที่จะประสบความสำเร็จในอนาคตเคยผ่านความยากลำบากมาทั้งโลก ไม่มีใครสบายแล้วประสบความสำเร็จ
ยิ่งมีความยากมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งมีความพยายามมากเท่านั้น อยู่ที่พวกเราต้องคิดให้ได้ ที่ห่วงมากคือพวกเรากลัวความลำบาก
ถ้าเรากลัวความลำบากเราจะไม่ประสบผลสำเร็จ นักศึกษาทุกคนต้องไม่กลัวความยากลำบาก และใช้โอกาสนี้
ให้ดีที่สุดในช่วงระยะเวลา 8 สัปดาห์ หากเรารับอะไรได้มากก็กลับไปตั้งกลุ่มกันฝึกฝนภาษาอังกฤษกันทุกวัน
อย่างที่ใช้กันทุกวันที่นี่ นอกจากนั้นเราต้องอ่านมาก คนเราไม่ได้ประสบความสำเร็จกันทุกคน ขอให้มีความมุมานะพยายาม
กริยามารยาทเด็กไทย มีสัมมาคารวะ ไม่มีใครที่ไม่ชื่นชม สิ่งเหล่านี้ต้องให้ดำรงอยู่ แต่เราต้องไม่อาย พยายามฝึกฝนให้ได้
เป็นกำลังใจให้ทุกคน ”
ด้าน รศ.ดร. บุญสม ศิริบำรุงสุข อธิการบดี ม.อ. กล่าวเสริมว่า มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้ส่งนักศึกษาจากวิทยาเขตตรัง
จำนวน 35 คน เข้าร่วมโครงการดังกล่าวระหว่างวันที่ 12 มีนาคม - 7 พฤษภาคม 2554 และส่งนักศึกษาจากคณะนิติศาสตร์
จำนวน 20 คนเข้าร่วมโครงการดังกล่าวระหว่างวันที่ 1 - 28 เมษายน 2554
“นักศึกษาที่มาเรียนจะต้องฝึกฝนเรียนรู้ ต้องเปิดใจรับที่จะเอาสิ่งต่างๆ ตลอดการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่
เด็กที่เรียนอ่อนก็ให้ฝึกฝนหรือพูดฝึกฝนตนเองมากๆก็จะได้กับตัวเอง จะติดตัวเราไปตลอด”
ด้านผศ.พักตรา คูบุรัตถ์ คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์ กล่าวสำหรับเกณฑ์ในการคัดเลือก เป็นนักศึกษาชั้นปีที่
1 - 4 สาขาใดก็ได้ เนื่องจากมีผู้สนใจสมัครเข้ามามากต้องคัดเลือกโดยดูจากประวัติการศึกษา ผลการเรียนประกอบ
และต้องเป็นผู้ที่รักและอยากที่จะพัฒนาเรียนรู้ในวิชาภาษาอังกฤษ และมีความกล้าหาญที่จะไปเผชิญกับโลกภายนอก
โดยมีอาจารย์ภาควิชาภาษาตะวันตกเป็นผู้คัดเลือก ก่อนที่จะมาเรียนมีการทดสอบวิชาภาษาอังกฤษเพื่อจะได้กำหนดวิธีการสอน
เก็บค่าเล่าเรียนเท่ากับการเรียนภาคฤดูร้อนของที่วิทยาเขตตรัง ค่าใช้จ่ายคนละ 7,000 บาท มีการสอบกลางภาค
และสอบปลายภาค เพราะวิชาดังกล่าวที่เรียนนี้นักศึกษาสามารถโอนหน่วยกิตกลับมาที่มหาวิทยาลัยได้ 6 หน่วยกิต
ซึ่งจะเห็นว่าหากนับเป็นจำนวนชั่วโมงแล้วนักศึกษาจะเรียนมากกว่าที่เมืองไทย มีการสอบกลางภาค และสอบปลายภาค
นับเป็นโอกาสที่ดีของนักศึกษา ซึ่งกลุ่มนี้มาเรียนตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2554 และจะกลับประมาณ วันที่ 10 พฤษภาคม
2554
“เป็นประสบการณ์ที่เด็กจะได้รับ หากไม่ได้มาหาประสบการณ์จริง
มาเผชิญกับโลกภายนอกนักศึกษาจะคิดว่าภาษาอังกฤษไม่สำคัญ “ อนาคตสำหรับหลักสูตร 2 ปริญญานั้น
คาดว่าปีการศึกษาหน้าจะจัดทำโครงการการศึกษาที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์หลักสูตร 3+1เ
รียนที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 3 ปี และเรียนที่ University Malaya ประเทศมาเลเซีย หรือ Shanghai
University ประเทศจีน เป็นเวลา 1 ปี หลักสูตรที่สอนเป็นวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจ ซึ่งได้มีการเจรจากันแล้ว ”
ผศ.พักตรากล่าว
http://manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9540000050853
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
“ชินวรณ์ “สั่งร.ร.ในพื้นที่ปะทะรับเปิดเทอม
คมชัดลึก :“ชินวรณ์ “สั่งร.ร.ในพื้นที่ปะทะ เตรียมพร้อมรับเปิดเทอม ประสานจังหวัดขุดหลุมหลบภัย ซ้อมอพยพนักเรียน
พร้อมให้ความร่วมมือเปิดสถานศึกษาเป็นศูนย์อพยพ สถานพยาบาลสนามและศูนย์ดำเนินการของฝ่ายความมั่นคง
(28 เม.ย.)นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
(รมว.ศธ. ) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารองค์กรหลัก ว่า
ได้สั่งการให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดที่ได้รับผ
ลกระทบจากการปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชาตามแนวชายแดน
เตรียมความพร้อมของสถานศึกษาในพื้นที่รับเปิดภาคเรียนวันที่ 16 พ.ค.นี้
โดยให้ประสานทางจังหวัดเข้ามาขุดหลุมหลบภัยให้โรงเรียน พร้อมจัดซ้อมอพยพนักเรียนเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
ทั้งนี้ สถานศึกษาของ ศธ. ยังไม่ได้รับความเสียหายจากเหตุประทะครั้งนี้ มีเพียง ร.ร. อุโลกแห่งเดียว
ที่มีกระสุนปืนใหญ่ของทางกัมพูชามาตก 2 ลูก รั้วโรงเรียนเสียหายเล็กน้อย ไม่มีนักเรียน ครู ได้รับาดเจ็บหรือเสียชีวิต
อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายความมั่นคงได้ขอให้ สถานศึกษาของ ศธ. เป็นศูนย์อพยพ 26 แห่ง รับชาวบ้านอพยพไว้18,910 คน
ซึ่งตนได้สั่งการให้องค์กรหลักที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนงบประมาณให้สถานศึกษานำไปใช้ดูแลผู้อพยพ
และให้อำนวยความสะดวกต่าง ๆ อย่างเต็มที่ตลอดถึงให้
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.)
เข้าไปจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภายในศูนย์อพยพ นอกจากนั้น ให้สถานศึกษาให้ความร่วมมือฝ่ายความมั่นคง
ที่ขอให้สถานศึกษาเป็นสถานพยาบาลสนาม โดยให้จัดครูร่วมอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ และมีสถานศึกษาอีก 2 แห่ง
ถูกใช้เป็นศูนย์ดำเนินการของฝ่ายความมั่นคง
นายชินวรณ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับการฟื้นฟูสถานศึกษาในภาคใต้ที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม
ซึ่งครม.ได้อนุมัติงบสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉิน 422 ล้านบาทให้นำไปซ่อมแซมสถานศึกษาสังกัด ศธ. นั้น
ได้สั่งการให้องค์กรหลักเร่งประสานกับสำนักงบประมาณ ขอเร่งรัดเบิกจ่ายงบดังกล่าว
รวมถึงงบประมาณฟื้นฟูโรงเรียนที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมครั้งแรกจำนวน 1,300 ล้านบาท ซึ่งโรงเรียนร้องเรียนมาว่า
งบประมาณยังไปไม่ถึง ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายเงินจัดสรรให้สถานศึกษาฟื้นฟูโรงเรียนได้ทันเปิดภาคเรียน 16 พ.ค.
http://www.komchadluek.net/detail/20110428/
พร้อมให้ความร่วมมือเปิดสถานศึกษาเป็นศูนย์อพยพ สถานพยาบาลสนามและศูนย์ดำเนินการของฝ่ายความมั่นคง
(28 เม.ย.)นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
(รมว.ศธ. ) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารองค์กรหลัก ว่า
ได้สั่งการให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดที่ได้รับผ
ลกระทบจากการปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชาตามแนวชายแดน
เตรียมความพร้อมของสถานศึกษาในพื้นที่รับเปิดภาคเรียนวันที่ 16 พ.ค.นี้
โดยให้ประสานทางจังหวัดเข้ามาขุดหลุมหลบภัยให้โรงเรียน พร้อมจัดซ้อมอพยพนักเรียนเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
ทั้งนี้ สถานศึกษาของ ศธ. ยังไม่ได้รับความเสียหายจากเหตุประทะครั้งนี้ มีเพียง ร.ร. อุโลกแห่งเดียว
ที่มีกระสุนปืนใหญ่ของทางกัมพูชามาตก 2 ลูก รั้วโรงเรียนเสียหายเล็กน้อย ไม่มีนักเรียน ครู ได้รับาดเจ็บหรือเสียชีวิต
อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายความมั่นคงได้ขอให้ สถานศึกษาของ ศธ. เป็นศูนย์อพยพ 26 แห่ง รับชาวบ้านอพยพไว้18,910 คน
ซึ่งตนได้สั่งการให้องค์กรหลักที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนงบประมาณให้สถานศึกษานำไปใช้ดูแลผู้อพยพ
และให้อำนวยความสะดวกต่าง ๆ อย่างเต็มที่ตลอดถึงให้
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.)
เข้าไปจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภายในศูนย์อพยพ นอกจากนั้น ให้สถานศึกษาให้ความร่วมมือฝ่ายความมั่นคง
ที่ขอให้สถานศึกษาเป็นสถานพยาบาลสนาม โดยให้จัดครูร่วมอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ และมีสถานศึกษาอีก 2 แห่ง
ถูกใช้เป็นศูนย์ดำเนินการของฝ่ายความมั่นคง
นายชินวรณ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับการฟื้นฟูสถานศึกษาในภาคใต้ที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม
ซึ่งครม.ได้อนุมัติงบสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉิน 422 ล้านบาทให้นำไปซ่อมแซมสถานศึกษาสังกัด ศธ. นั้น
ได้สั่งการให้องค์กรหลักเร่งประสานกับสำนักงบประมาณ ขอเร่งรัดเบิกจ่ายงบดังกล่าว
รวมถึงงบประมาณฟื้นฟูโรงเรียนที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมครั้งแรกจำนวน 1,300 ล้านบาท ซึ่งโรงเรียนร้องเรียนมาว่า
งบประมาณยังไปไม่ถึง ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายเงินจัดสรรให้สถานศึกษาฟื้นฟูโรงเรียนได้ทันเปิดภาคเรียน 16 พ.ค.
http://www.komchadluek.net/detail/20110428/
รมว.ศึกษาธิการลงนามแต่งตั้งกก.ควบคุมม.อีสาน
คมชัดลึก : "ชินวรณ์" ลงนามแต่งตั้งกรรมการควบคุม ม.อีสาน พร้อมตั้งกก. 17 คน มีผลทันที ชี้
ม.อีสานมีสิทธิ์อุทธรณ์คำสั่งได้ภายใน 30 วัน ขณะที่ สกอ.ชงครม.ตั้งคณะกรรมการกลางตรวจสอบมหาวิทยาลัย 3 พ.ค.นี้
ขยายผลตรวจสอบซื้อขายปริญญาทุกมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ แถมโฆษณาเกินจริงผ่านเว็บไซต์
เมื่อวันที่ 28 เมษายน นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า
ได้ลงนามในคำสั่งกระทรวงศึกษาธิการ ที่ 353/2554 เรื่อง
ให้มหาวิทยาลัยอยู่ในความควบคุมของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)
และตั้งคณะกรรมการควบคุมมหาวิทยาลัยอีสานด้วย
หลังจากกระทรวงศึกษาธิการมีคำสั่งให้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า
มหาวิทยาลัยอีสานได้จัดการศึกษาไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ.2546
คณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ระบบทะเบียนนักศึกษา
ป.บัณฑิตของมหาวิทยาลัยอีสานเป็นระบบที่ไม่มั่นคง ปลอดภัย เชื่อถือได้ รายได้ที่ได้บางส่วนไม่ได้นำเข้ากองทุนทั่วไป
และไม่แจ้งรายชื่ออาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตรให้สกอ.ทราบ ซึ่งเป็นการฝ่าฝืน มาตรา 43(6) และ 62 ของ
พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน และประกาศกระทรวงศึกษาธิการ
เรื่องแนวทางการบริหารหลักเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับอุดมศึกษา 2548
กรณีดังกล่าวอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่มหาวิทยาลัยอีสานได้ จึงมีมติให้
รมว.ศึกษาธิการสั่งให้มหาวิทยาลัยอีสานอยู่ในความควบคุมของ สกอ. และแต่งตั้งคณะกรรมการควบคุมมหาวิทยาลัยอีสานจำนวน
17 คน ดังนี้
นายสมนึก พิมลเสถียร ประธานกรรมการ รศ.ชูชาติ อารีจิตรานุสรณ์ รศ.สมนึก เอื้อจิระพงษ์พันธ์ รศ.สุมนต์
สกลไชย รศ.อานนท์ เที่ยงตรง รศ.กำจร ตติยกวี รศ.จีรเดช อู่สวัสดิ์ ผศ.ชัยนรินทร์ วีระสถาวณิชย์ นายประเสริฐ
ตันสกุล นางอรุณี ม่วงน้อยเจริญ น.ส.มัทนา สานติวัตร นางฉันทวิทย์ สุชาตานนท์ นายขจร จิตสุขุมมงคล
ผอ.สำนักประสานและส่งเสริมกิจการอุดมศึกษา เป็นกรรมการเลขานุการ เจ้าหน้าที่ สกอ.3 ราย เป็นผู้ช่วยเลขานุการ
ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยอีสานมีสิทธิ์อุทธรณ์คำสั่งควบคุม โดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อ รมว.ศึกษาธิการภายใน 30 วัน
แต่ว่าผลการควบคุมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้น คณะกรรมการจะเข้าไปทำหน้าที่วางนโยบายควบคุมดูแลทั่วไป
และดำเนินการในฐานะสภามหาวิทยาลัย หรือนายกสถาบัน โดยให้นายกสถาบัน และกรรมการสถาบันพ้นตำแหน่งตามมาตรา
32(6) เพราะฉะนั้น คณะกรรมการควบคุมสามารถเข้าไปดำเนินการได้ทันที
นายชินวรณ์ กล่าวด้วยว่า นอกจากถูกควบคุมแล้ว มหาวิทยาลัยอีสานจะถูกตรวจสอบต่อไป ถ้ามีการทำผิดกฎหมายใดๆ
ก็จะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย และในกรณีที่มีการปลอมแปลมเอกสารก็ต้องถูกดำเนินการตามกฎหมายแพ่งและอาญา
พร้อมพิจารณาโทษผู้ที่เกี่ยวข้องตามลำดับต่อไป เช่น การพ้นสภาพของคณาจารย์ การกำหนดโทษปรับไม่เกิน 1 แสนบาท
และต้องถูกดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งอาญาและแพ่ง
ในส่วนของคุรุสภา รายงานว่า ได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบและยืนยันข้อมูลตรงกันว่าเป็นกระบวนการซื้อขาย ชัดเจน
ซึ่งขณะนี้มหาวิทยาลัยอีสาน ได้ยกเลิกประกาศนียบัตร ป.บัณฑิต ไปแล้ว 1,300 ราย โดยวันที่ 28 เมษายนนี้
มีการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพเพื่อเพิกถอนบุคคลที่มีหลักฐานและข้อมูลดังกล่าวต่อไป
เพื่อไม่ให้สามารถนำใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูไปใช้ทำธุรกรรมอื่นใดซึ่งจะมีผลต่อเนื่อง
และได้มอบให้คุรุสภาดำเนินการตรวจสอบบุคลลที่เกี่ยวข้องในการปลอมแปลงเอกสารและให้เอกสารที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเ
พื่อดำเนินการต่อไปทั้งทางแพ่งและอาญา โดยให้ สกอ. คุรุสภา ให้ความร่วมมือนักศึกษาที่มายื่นเอกสารดังกล่าวในฐานะพยาน
เราจะคุ้มครองพยาน ตลอดถึงหากกลุ่มนักศึกษามีความประสงค์จะฟ้องร้องเรียกความเสียหายทางแพ่ง ขอให้ สกอ.จัดเจ้าหน้าที่
นิติกร อำนวยความสะดวกให้แก่นักศึกษา
ด้านนายไชยยศ จิรเมธากร รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า หลังจาก สกอ.ตั้งคณะกรรมการเข้าควบคุมมหาวิทยาลัยอีสาน
ก็จะส่งผลให้ผู้บริหารรวมทั้งสภามหาวิทยาลัยต้องยุติบทบาทโดยอัตโนมัติ
และจากนี้คณะกรรมการควบคุมจะเข้าตรวจสอบการดำเนินงานของสภามหาวิทยาลัย
และหากพบว่าใครกระทำผิดก็ให้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ซึ่งคาดว่าการดำเนินการตรวจสอบจะเสร็จก่อนมีรัฐบาลชุดใหม่อย่างแน่นอน ทั้งนี้ สกอ.ได้ส่งข้อมูลให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ
(ดีเอสไอ) แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณามูลฐานความผิดว่าจะเข้าข่ายและอยู่ในอำนาจหน้าที่ของดีเอสไอหรือไม่
หากพบว่าไม่เข้าข่ายก็จะดำเนินการส่งให้กองบังคับการปราบปรามดำเนินการตรวจสอบต่อไป
นอกจากนี้ ในส่วนของ สกอ.ได้หารือถึงข้อกฎหมายและในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 3 พฤษภาคมนี้
จะเสนอขอจัดตั้งคณะกรรมการกลาง เนื่องจากอำนาจของคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.)
ที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถตรวจสอบมหาวิทยาลัยได้ จึงจำเป็นต้องอาศัยอำนาจ ครม.ตั้ง ซึ่งคาดว่า
องค์ประกอบของคณะกรรมการจะมี เลขาธิการกกอ.เป็นประธาน และมีตัวแทนจากดีเอสไอ กองปราบปราม
กระทรวงไอซีที ธนาคารแห่งประเทศไทย กรมสรรพสามิต ร่วมเป็นกรรมการ
ทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงการซื้อขายปริญญาทุกมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ โดยเฉพาะการโฆษณาเกินจริงผ่านเว็บไซต์
ซึ่งมีคนร้องเรียนเข้ามาจำนวนหนึ่ง
นายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการ กกอ.กล่าวว่า
หน้าที่คณะกรรมการกลางจะเข้าไปตรวจสอบมาตรฐานของมหาวิทยาลัยเพื่อเป็นการขยายผลต่อเนื่อง
โดยหลังจากมีการตรวจสอบกรณีซื้อขายใบ ป.บัณฑิต ที่ผ่านมาก็เริ่มผู้ร้องเรียนเข้ามาหลายราย ซึ่งบางเรื่องก็มีพฤติกรรมแปลกๆ
เช่น เก็บค่าเล่าเรียนไม่ตรงตามที่ตกลงไว้ และพอใกล้จะจบก็เรียกเก็บเพิ่มในอัตราที่แพงกว่าปกติ
นอกจากนั้นยังจะเข้าไปดูในเรื่องของการโฆษณาเกินจริง หลอกว่ามีอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาสอน แต่พอไปเรียนจริงกลับไม่มี
ทำให้เขาไม่ได้รับการศึกษาตามต้องการ หรือหลักสูตรที่อ้างว่าจะต้องมีการดูงานในต่างประเทศแต่ความจริงคือการไปเที่ยว
โดยกลุ่มแรกที่จะไปตรวจสอบก่อนคือกลุ่มที่ได้รับร้องเรียน โดยเฉพาะ 4-5 แห่งที่ได้รับร้องเรียนว่ามีการซื้อขายปริญญา
http://www.komchadluek.net/detail/20110429/
ม.อีสานมีสิทธิ์อุทธรณ์คำสั่งได้ภายใน 30 วัน ขณะที่ สกอ.ชงครม.ตั้งคณะกรรมการกลางตรวจสอบมหาวิทยาลัย 3 พ.ค.นี้
ขยายผลตรวจสอบซื้อขายปริญญาทุกมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ แถมโฆษณาเกินจริงผ่านเว็บไซต์
เมื่อวันที่ 28 เมษายน นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า
ได้ลงนามในคำสั่งกระทรวงศึกษาธิการ ที่ 353/2554 เรื่อง
ให้มหาวิทยาลัยอยู่ในความควบคุมของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)
และตั้งคณะกรรมการควบคุมมหาวิทยาลัยอีสานด้วย
หลังจากกระทรวงศึกษาธิการมีคำสั่งให้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า
มหาวิทยาลัยอีสานได้จัดการศึกษาไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ.2546
คณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ระบบทะเบียนนักศึกษา
ป.บัณฑิตของมหาวิทยาลัยอีสานเป็นระบบที่ไม่มั่นคง ปลอดภัย เชื่อถือได้ รายได้ที่ได้บางส่วนไม่ได้นำเข้ากองทุนทั่วไป
และไม่แจ้งรายชื่ออาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตรให้สกอ.ทราบ ซึ่งเป็นการฝ่าฝืน มาตรา 43(6) และ 62 ของ
พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน และประกาศกระทรวงศึกษาธิการ
เรื่องแนวทางการบริหารหลักเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับอุดมศึกษา 2548
กรณีดังกล่าวอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่มหาวิทยาลัยอีสานได้ จึงมีมติให้
รมว.ศึกษาธิการสั่งให้มหาวิทยาลัยอีสานอยู่ในความควบคุมของ สกอ. และแต่งตั้งคณะกรรมการควบคุมมหาวิทยาลัยอีสานจำนวน
17 คน ดังนี้
นายสมนึก พิมลเสถียร ประธานกรรมการ รศ.ชูชาติ อารีจิตรานุสรณ์ รศ.สมนึก เอื้อจิระพงษ์พันธ์ รศ.สุมนต์
สกลไชย รศ.อานนท์ เที่ยงตรง รศ.กำจร ตติยกวี รศ.จีรเดช อู่สวัสดิ์ ผศ.ชัยนรินทร์ วีระสถาวณิชย์ นายประเสริฐ
ตันสกุล นางอรุณี ม่วงน้อยเจริญ น.ส.มัทนา สานติวัตร นางฉันทวิทย์ สุชาตานนท์ นายขจร จิตสุขุมมงคล
ผอ.สำนักประสานและส่งเสริมกิจการอุดมศึกษา เป็นกรรมการเลขานุการ เจ้าหน้าที่ สกอ.3 ราย เป็นผู้ช่วยเลขานุการ
ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยอีสานมีสิทธิ์อุทธรณ์คำสั่งควบคุม โดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อ รมว.ศึกษาธิการภายใน 30 วัน
แต่ว่าผลการควบคุมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้น คณะกรรมการจะเข้าไปทำหน้าที่วางนโยบายควบคุมดูแลทั่วไป
และดำเนินการในฐานะสภามหาวิทยาลัย หรือนายกสถาบัน โดยให้นายกสถาบัน และกรรมการสถาบันพ้นตำแหน่งตามมาตรา
32(6) เพราะฉะนั้น คณะกรรมการควบคุมสามารถเข้าไปดำเนินการได้ทันที
นายชินวรณ์ กล่าวด้วยว่า นอกจากถูกควบคุมแล้ว มหาวิทยาลัยอีสานจะถูกตรวจสอบต่อไป ถ้ามีการทำผิดกฎหมายใดๆ
ก็จะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย และในกรณีที่มีการปลอมแปลมเอกสารก็ต้องถูกดำเนินการตามกฎหมายแพ่งและอาญา
พร้อมพิจารณาโทษผู้ที่เกี่ยวข้องตามลำดับต่อไป เช่น การพ้นสภาพของคณาจารย์ การกำหนดโทษปรับไม่เกิน 1 แสนบาท
และต้องถูกดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งอาญาและแพ่ง
ในส่วนของคุรุสภา รายงานว่า ได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบและยืนยันข้อมูลตรงกันว่าเป็นกระบวนการซื้อขาย ชัดเจน
ซึ่งขณะนี้มหาวิทยาลัยอีสาน ได้ยกเลิกประกาศนียบัตร ป.บัณฑิต ไปแล้ว 1,300 ราย โดยวันที่ 28 เมษายนนี้
มีการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพเพื่อเพิกถอนบุคคลที่มีหลักฐานและข้อมูลดังกล่าวต่อไป
เพื่อไม่ให้สามารถนำใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูไปใช้ทำธุรกรรมอื่นใดซึ่งจะมีผลต่อเนื่อง
และได้มอบให้คุรุสภาดำเนินการตรวจสอบบุคลลที่เกี่ยวข้องในการปลอมแปลงเอกสารและให้เอกสารที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเ
พื่อดำเนินการต่อไปทั้งทางแพ่งและอาญา โดยให้ สกอ. คุรุสภา ให้ความร่วมมือนักศึกษาที่มายื่นเอกสารดังกล่าวในฐานะพยาน
เราจะคุ้มครองพยาน ตลอดถึงหากกลุ่มนักศึกษามีความประสงค์จะฟ้องร้องเรียกความเสียหายทางแพ่ง ขอให้ สกอ.จัดเจ้าหน้าที่
นิติกร อำนวยความสะดวกให้แก่นักศึกษา
ด้านนายไชยยศ จิรเมธากร รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า หลังจาก สกอ.ตั้งคณะกรรมการเข้าควบคุมมหาวิทยาลัยอีสาน
ก็จะส่งผลให้ผู้บริหารรวมทั้งสภามหาวิทยาลัยต้องยุติบทบาทโดยอัตโนมัติ
และจากนี้คณะกรรมการควบคุมจะเข้าตรวจสอบการดำเนินงานของสภามหาวิทยาลัย
และหากพบว่าใครกระทำผิดก็ให้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ซึ่งคาดว่าการดำเนินการตรวจสอบจะเสร็จก่อนมีรัฐบาลชุดใหม่อย่างแน่นอน ทั้งนี้ สกอ.ได้ส่งข้อมูลให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ
(ดีเอสไอ) แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณามูลฐานความผิดว่าจะเข้าข่ายและอยู่ในอำนาจหน้าที่ของดีเอสไอหรือไม่
หากพบว่าไม่เข้าข่ายก็จะดำเนินการส่งให้กองบังคับการปราบปรามดำเนินการตรวจสอบต่อไป
นอกจากนี้ ในส่วนของ สกอ.ได้หารือถึงข้อกฎหมายและในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 3 พฤษภาคมนี้
จะเสนอขอจัดตั้งคณะกรรมการกลาง เนื่องจากอำนาจของคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.)
ที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถตรวจสอบมหาวิทยาลัยได้ จึงจำเป็นต้องอาศัยอำนาจ ครม.ตั้ง ซึ่งคาดว่า
องค์ประกอบของคณะกรรมการจะมี เลขาธิการกกอ.เป็นประธาน และมีตัวแทนจากดีเอสไอ กองปราบปราม
กระทรวงไอซีที ธนาคารแห่งประเทศไทย กรมสรรพสามิต ร่วมเป็นกรรมการ
ทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงการซื้อขายปริญญาทุกมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ โดยเฉพาะการโฆษณาเกินจริงผ่านเว็บไซต์
ซึ่งมีคนร้องเรียนเข้ามาจำนวนหนึ่ง
นายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการ กกอ.กล่าวว่า
หน้าที่คณะกรรมการกลางจะเข้าไปตรวจสอบมาตรฐานของมหาวิทยาลัยเพื่อเป็นการขยายผลต่อเนื่อง
โดยหลังจากมีการตรวจสอบกรณีซื้อขายใบ ป.บัณฑิต ที่ผ่านมาก็เริ่มผู้ร้องเรียนเข้ามาหลายราย ซึ่งบางเรื่องก็มีพฤติกรรมแปลกๆ
เช่น เก็บค่าเล่าเรียนไม่ตรงตามที่ตกลงไว้ และพอใกล้จะจบก็เรียกเก็บเพิ่มในอัตราที่แพงกว่าปกติ
นอกจากนั้นยังจะเข้าไปดูในเรื่องของการโฆษณาเกินจริง หลอกว่ามีอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาสอน แต่พอไปเรียนจริงกลับไม่มี
ทำให้เขาไม่ได้รับการศึกษาตามต้องการ หรือหลักสูตรที่อ้างว่าจะต้องมีการดูงานในต่างประเทศแต่ความจริงคือการไปเที่ยว
โดยกลุ่มแรกที่จะไปตรวจสอบก่อนคือกลุ่มที่ได้รับร้องเรียน โดยเฉพาะ 4-5 แห่งที่ได้รับร้องเรียนว่ามีการซื้อขายปริญญา
http://www.komchadluek.net/detail/20110429/
ภาคธุรกิจแนะผลิตบัณฑิตคนดีก่อนคนเก่ง
คมชัดลึก :ภาคธุรกิจ ชี้บทบาทอุดมศึกษา ผลิตบัณฑิตยุคใหม่ต้องให้เป็นคนดี ก่อนคนเก่ง ปรับหลักสูตรเอาคุณธรรมนำความรู้
ติงเด็กไทยไม่รู้จักหน้าที่พลเมือง เหตุระบบการศึกษาไม่ได้สอน ฝากศธ.บรรจุวิชา หลักสูตรหน้าที่พลเมือง แก่เด็ก
ควบคู่ความรับผิดชอบในสังคม การทำความดี ไม่ใช่สอนเฉพาะเรื่องของความรู้
ดร.ปรเมธี วิมลศิริ รองเลขาธิการคณะกรรมการการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวในงานเสวนา “รวมสมอง
มองอนาคตอุดมศึกษาไทย” ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ลักษณะของบัณฑิตที่ภาคสังคม ภาคธุรกิจ
อยากเห็นมากที่สุด คือ บัณฑิตที่เป็นคนดี และคนเก่ง ซึ่งมหาวิทยาลัยต้องผลิตสร้างคนดีก่อน แล้วค่อยเสริมความเก่ง
เพราะตอนนี้บัณฑิตที่จบออกมาส่วนใหญ่ เป็นคนเก่งที่นึกถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน โดยไม่สนใจทำประโยชน์เพื่อส่วนร่วม
ฉะนั้น รูปแบบการพัฒนาบัณฑิตของมหาวิทยาลัยในโลกโลกาภิวัฒน์ ที่มีการเปลี่ยนแปลง การเชื่อมโยง
แลกเปลี่ยนกันในแต่ละประเทศอย่างไร้ขีดจำกัด มหาวิทยาลัยต้องปรับหลักสูตรเอาคุณธรรมนำความรู้ ช่วยเหลือสังคม
และเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ รวมถึงมหาวิทยาลัยต้องเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนประเทศไทยมากขึ้น
อาทิ ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ 11 แผนระยะยาว5 ปี ที่จะเริ่มใช้ในเดือนต.ค.2554
นี้ มหาวิทยาลัยต้องเข้ามามีส่วนในการผลักดัน และร่วมพัฒนาประเทศในเรื่องการสร้างความชอบธรรมในสังคม
ความปรองดอง สมานฉันท์ ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม การเตรียมคนสู่โลกอนาคต การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
การเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน และการสร้างความสมดุลในเรื่องของอาหาร พลังงาน และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
ด้าน นายสุกิจ อุทินทุ รองประธาน CSR Club สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทยกล่าวว่าระบบการศึกษาของไทยในปัจจุบัน
มุ่งเน้นแต่สร้างคนเก่ง ไม่ได้สร้างคนดี โดยเฉพาะระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย สิ่งแรกที่ดูคือคะแนน
ไม่ใช่ความประพฤติ การทำประโยชน์เพื่อสังคม
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กไทยจะหันไปเรียนกวดวิชามากกว่าการทำงานเพื่อส่วนร่วม เพราะถ้าไม่เรียนกวดวิชา เด็กก็ทำข้อสอบไม่ได้
คะแนนก็ต่ำ
ดังนั้น การวางแผนของมหาวิทยาลัย ถือแม้จะเป็นปลายทางการศึกษา แต่เป็นปลายทางที่จะสร้างเด็กเพื่อออกไปสู่สังคม
โลกของการทำงาน การผลิตบัณฑิตในอนาคต ต้องเริ่มปลูกฝังความดี ให้มีความประพฤติที่ดี มีความรับผิดชอบ
รู้จักช่วยเหลือสังคม ทำกิจกรรมสาธารณะประโยชการ มีจิตอาสา ให้เกิดขึ้นในตัวเด็กให้ได้ เพราะในภาคธุรกิจ
สังคมในโลกอนาคต ต้องการคนดี มากกว่าคนเก่ง เนื่องจากคนเก่งภาคธุรกิจสามารถสร้างขึ้นได้เอง แต่คนดี
ต้องเริ่มจากระบบการศึกษา อุดมศึกษาที่ช่วยหล่อหลอม ขัดเกลาขึ้นมา
“หลายครั้งที่ได้มีโอกาสอบรมเด็กรุ่นใหม่ และสอบถามเกี่ยวกับการทำหน้าที่พลเมืองที่ดีต้องทำอย่างไร
ส่วนใหญ่มักตอบถึงเรื่องการมีสิทธิ โดยไม่รู้หน้าที่ เพราะพวกเขาไม่เคยเรียน ฉะนั้น
หากจะให้เด็กไทยรู้จักการทำหน้าที่พลเมืองที่ดี กระทรวงศึกษาธิการ อุดมศึกษา ควรบรรจุวิชา หลักสูตรหน้าที่พลเมืองแก่เด็ก
อีกทั้งควรจะมีการสอนเกี่ยวกับความรับผิดชอบในสังคม การทำความดี ไม่ใช่สอนเฉพาะเรื่องของความรู้ อย่างไรก็ตาม
ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าประเทศไทย คนไทย ต้องแข่งขันกับประเทศต่างๆ มากขึ้น โลกมีการเปลี่ยนแปลง
ถึงเวลาแล้วที่มหาวิทยาลัยไทยต้องเปลี่ยน สร้างคนรุ่นใหม่ที่รู้จักแสวงหาโอกาส และใช้โอกาสในทางที่ถูก
ที่นำความเจริญให้แก่ประเทศ” นายสุกิจ กล่าว
http://www.komchadluek.net/detail/20110428/
ติงเด็กไทยไม่รู้จักหน้าที่พลเมือง เหตุระบบการศึกษาไม่ได้สอน ฝากศธ.บรรจุวิชา หลักสูตรหน้าที่พลเมือง แก่เด็ก
ควบคู่ความรับผิดชอบในสังคม การทำความดี ไม่ใช่สอนเฉพาะเรื่องของความรู้
ดร.ปรเมธี วิมลศิริ รองเลขาธิการคณะกรรมการการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวในงานเสวนา “รวมสมอง
มองอนาคตอุดมศึกษาไทย” ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ลักษณะของบัณฑิตที่ภาคสังคม ภาคธุรกิจ
อยากเห็นมากที่สุด คือ บัณฑิตที่เป็นคนดี และคนเก่ง ซึ่งมหาวิทยาลัยต้องผลิตสร้างคนดีก่อน แล้วค่อยเสริมความเก่ง
เพราะตอนนี้บัณฑิตที่จบออกมาส่วนใหญ่ เป็นคนเก่งที่นึกถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน โดยไม่สนใจทำประโยชน์เพื่อส่วนร่วม
ฉะนั้น รูปแบบการพัฒนาบัณฑิตของมหาวิทยาลัยในโลกโลกาภิวัฒน์ ที่มีการเปลี่ยนแปลง การเชื่อมโยง
แลกเปลี่ยนกันในแต่ละประเทศอย่างไร้ขีดจำกัด มหาวิทยาลัยต้องปรับหลักสูตรเอาคุณธรรมนำความรู้ ช่วยเหลือสังคม
และเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ รวมถึงมหาวิทยาลัยต้องเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนประเทศไทยมากขึ้น
อาทิ ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ 11 แผนระยะยาว5 ปี ที่จะเริ่มใช้ในเดือนต.ค.2554
นี้ มหาวิทยาลัยต้องเข้ามามีส่วนในการผลักดัน และร่วมพัฒนาประเทศในเรื่องการสร้างความชอบธรรมในสังคม
ความปรองดอง สมานฉันท์ ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม การเตรียมคนสู่โลกอนาคต การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
การเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน และการสร้างความสมดุลในเรื่องของอาหาร พลังงาน และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
ด้าน นายสุกิจ อุทินทุ รองประธาน CSR Club สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทยกล่าวว่าระบบการศึกษาของไทยในปัจจุบัน
มุ่งเน้นแต่สร้างคนเก่ง ไม่ได้สร้างคนดี โดยเฉพาะระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย สิ่งแรกที่ดูคือคะแนน
ไม่ใช่ความประพฤติ การทำประโยชน์เพื่อสังคม
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กไทยจะหันไปเรียนกวดวิชามากกว่าการทำงานเพื่อส่วนร่วม เพราะถ้าไม่เรียนกวดวิชา เด็กก็ทำข้อสอบไม่ได้
คะแนนก็ต่ำ
ดังนั้น การวางแผนของมหาวิทยาลัย ถือแม้จะเป็นปลายทางการศึกษา แต่เป็นปลายทางที่จะสร้างเด็กเพื่อออกไปสู่สังคม
โลกของการทำงาน การผลิตบัณฑิตในอนาคต ต้องเริ่มปลูกฝังความดี ให้มีความประพฤติที่ดี มีความรับผิดชอบ
รู้จักช่วยเหลือสังคม ทำกิจกรรมสาธารณะประโยชการ มีจิตอาสา ให้เกิดขึ้นในตัวเด็กให้ได้ เพราะในภาคธุรกิจ
สังคมในโลกอนาคต ต้องการคนดี มากกว่าคนเก่ง เนื่องจากคนเก่งภาคธุรกิจสามารถสร้างขึ้นได้เอง แต่คนดี
ต้องเริ่มจากระบบการศึกษา อุดมศึกษาที่ช่วยหล่อหลอม ขัดเกลาขึ้นมา
“หลายครั้งที่ได้มีโอกาสอบรมเด็กรุ่นใหม่ และสอบถามเกี่ยวกับการทำหน้าที่พลเมืองที่ดีต้องทำอย่างไร
ส่วนใหญ่มักตอบถึงเรื่องการมีสิทธิ โดยไม่รู้หน้าที่ เพราะพวกเขาไม่เคยเรียน ฉะนั้น
หากจะให้เด็กไทยรู้จักการทำหน้าที่พลเมืองที่ดี กระทรวงศึกษาธิการ อุดมศึกษา ควรบรรจุวิชา หลักสูตรหน้าที่พลเมืองแก่เด็ก
อีกทั้งควรจะมีการสอนเกี่ยวกับความรับผิดชอบในสังคม การทำความดี ไม่ใช่สอนเฉพาะเรื่องของความรู้ อย่างไรก็ตาม
ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าประเทศไทย คนไทย ต้องแข่งขันกับประเทศต่างๆ มากขึ้น โลกมีการเปลี่ยนแปลง
ถึงเวลาแล้วที่มหาวิทยาลัยไทยต้องเปลี่ยน สร้างคนรุ่นใหม่ที่รู้จักแสวงหาโอกาส และใช้โอกาสในทางที่ถูก
ที่นำความเจริญให้แก่ประเทศ” นายสุกิจ กล่าว
http://www.komchadluek.net/detail/20110428/
ประธานกอศ.ยอมไม่ได้สอศ.ลัดขั้นตอน เอกชนเบรกรัฐรับนร.อย่ามุ่งปริมาณ
ศ.ดร.ธีรวุฒิ บุณยโสภณ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนคร เหนือ (มจพ.)
ในฐานะประธานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า ตามที่การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)
เมื่อวันที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบในหลักการร่างกฎกระทรวงเพื่อจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษา ตาม
พ.ร.บ.การอาชีวศึกษา พ.ศ. 2551 โดยจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษานำร่อง 4 แห่งตามที่กระทรวงศึกษาธิการ
(ศธ.) เสนอนั้น ตนได้ทำหนังสือถึง ดร.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ เลขาธิการ กอศ.เพื่อแจ้งให้ทราบว่า การที่เลขาธิการ
กอศ.ดำเนินการส่งร่างกฎกระทรวง 4 ฉบับดังกล่าวให้ น.ส.นริศรา ชวาลตันพิพัทธ์
รมช.ศธ.เสนอต่อครม.โดยไม่ผ่านความเห็นและคำแนะนำของบอร์ด กอศ.ก่อนดำเนินการเสนอ
ครม.รวมทั้งยังไม่ได้ผ่านหลักเกณฑ์การประเมินความพร้อมในการจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาที่กำหนดโดยบอร์ด
กอศ.ตามอำนาจหน้าที่ในมาตรา11(2) จึงไม่เป็นไปตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.การอาชีวศึกษา พ.ศ. 2551
ซึ่งเป็นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้อง
ถือเป็นการจงใจไม่ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมายจึงถือว่าผู้เกี่ยวข้องทุกคนปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบตามกฎหมาย
อันเป็นความผิดตามประมวลอาญามาตรา 157 และอาจเข้าข่ายถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญได้
นอกจากนี้ตนยังได้ทำหนังสือไปถึงผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.) และศาลปกครอง เพื่อร้องเรียนและขอให้ตรวจสอบการกระทำของเลขาธิการ กอศ. ด้วย
ดร.วีรวัฒน์ วรรณศิริ นายกสมาคมโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่วิทยาลัยต่าง ๆ
ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)กำลังรับสมัครนักเรียนอาชีวศึกษาเพิ่มเติมเป็นรอบที่
2–3 ในขณะนี้ โดยให้เหตุผลว่ามีนักเรียนมาสมัครเป็นจำนวนมากนั้น ตนมีความเห็นว่า
การจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษาต้องพิจารณาความพร้อมด้านเครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์
ตลอดจนครูและบุคลากรทางการศึกษาด้วย เพื่อให้สามารถควบคุมคุณภาพได้ตามมาตรฐานหลักสูตร
หากรัฐบาลต้องการปฏิรูปการศึกษาอย่างแท้จริงก็ต้องคำนึงถึงเรื่องคุณภาพเรื่องปริมาณ
มิฉะนั้นเด็กอาชีวศึกษาที่จบออกไปก็จะขาดคุณภาพและจะกลับไปสู่สภาพเดิม ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด
แต่สำหรับโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนฯนั้น
ทางสมาคมฯได้มีนโยบายชัดเจนว่าขอให้ทุกโรงเรียนที่เป็นสมาชิกเน้นการรับนักเรียนตามหลักความพร้อม
เพราะเราต้องการเน้นคุณภาพ
ดร.วีรวัฒน์ กล่าวว่า ส่วนเรื่องการพัฒนาการอาชีวศึกษาของชาติ ตนอยากให้
สอศ.เร่งกำหนดแนวทางการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา เพราะสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา
(สมศ.) จะเริ่มการประเมินรอบสามในเดือนมิ.ย.นี้แล้ว ซึ่งโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนกำลังรอเกณฑ์จาก
สอศ.อยู่ด้วยความวิตกกังวล เพราะเกรงจะดำเนินการไม่ทันกับการที่ สมศ.จะเข้าตรวจ
ส่วนเรื่องการจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษานั้น ก็อยากให้ สอศ.เร่งดำเนินการเช่นกัน
เพราะเป็นอนาคตของนักเรียนอาชีวศึกษาที่จะได้เรียนต่อระดับปริญญาตรีสายปฏิบัติการ.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?
page=content&categoryId=42&contentID=135652
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ในฐานะประธานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า ตามที่การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)
เมื่อวันที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบในหลักการร่างกฎกระทรวงเพื่อจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษา ตาม
พ.ร.บ.การอาชีวศึกษา พ.ศ. 2551 โดยจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษานำร่อง 4 แห่งตามที่กระทรวงศึกษาธิการ
(ศธ.) เสนอนั้น ตนได้ทำหนังสือถึง ดร.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ เลขาธิการ กอศ.เพื่อแจ้งให้ทราบว่า การที่เลขาธิการ
กอศ.ดำเนินการส่งร่างกฎกระทรวง 4 ฉบับดังกล่าวให้ น.ส.นริศรา ชวาลตันพิพัทธ์
รมช.ศธ.เสนอต่อครม.โดยไม่ผ่านความเห็นและคำแนะนำของบอร์ด กอศ.ก่อนดำเนินการเสนอ
ครม.รวมทั้งยังไม่ได้ผ่านหลักเกณฑ์การประเมินความพร้อมในการจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาที่กำหนดโดยบอร์ด
กอศ.ตามอำนาจหน้าที่ในมาตรา11(2) จึงไม่เป็นไปตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.การอาชีวศึกษา พ.ศ. 2551
ซึ่งเป็นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้อง
ถือเป็นการจงใจไม่ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมายจึงถือว่าผู้เกี่ยวข้องทุกคนปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบตามกฎหมาย
อันเป็นความผิดตามประมวลอาญามาตรา 157 และอาจเข้าข่ายถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญได้
นอกจากนี้ตนยังได้ทำหนังสือไปถึงผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.) และศาลปกครอง เพื่อร้องเรียนและขอให้ตรวจสอบการกระทำของเลขาธิการ กอศ. ด้วย
ดร.วีรวัฒน์ วรรณศิริ นายกสมาคมโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่วิทยาลัยต่าง ๆ
ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)กำลังรับสมัครนักเรียนอาชีวศึกษาเพิ่มเติมเป็นรอบที่
2–3 ในขณะนี้ โดยให้เหตุผลว่ามีนักเรียนมาสมัครเป็นจำนวนมากนั้น ตนมีความเห็นว่า
การจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษาต้องพิจารณาความพร้อมด้านเครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์
ตลอดจนครูและบุคลากรทางการศึกษาด้วย เพื่อให้สามารถควบคุมคุณภาพได้ตามมาตรฐานหลักสูตร
หากรัฐบาลต้องการปฏิรูปการศึกษาอย่างแท้จริงก็ต้องคำนึงถึงเรื่องคุณภาพเรื่องปริมาณ
มิฉะนั้นเด็กอาชีวศึกษาที่จบออกไปก็จะขาดคุณภาพและจะกลับไปสู่สภาพเดิม ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด
แต่สำหรับโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนฯนั้น
ทางสมาคมฯได้มีนโยบายชัดเจนว่าขอให้ทุกโรงเรียนที่เป็นสมาชิกเน้นการรับนักเรียนตามหลักความพร้อม
เพราะเราต้องการเน้นคุณภาพ
ดร.วีรวัฒน์ กล่าวว่า ส่วนเรื่องการพัฒนาการอาชีวศึกษาของชาติ ตนอยากให้
สอศ.เร่งกำหนดแนวทางการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา เพราะสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา
(สมศ.) จะเริ่มการประเมินรอบสามในเดือนมิ.ย.นี้แล้ว ซึ่งโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนกำลังรอเกณฑ์จาก
สอศ.อยู่ด้วยความวิตกกังวล เพราะเกรงจะดำเนินการไม่ทันกับการที่ สมศ.จะเข้าตรวจ
ส่วนเรื่องการจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษานั้น ก็อยากให้ สอศ.เร่งดำเนินการเช่นกัน
เพราะเป็นอนาคตของนักเรียนอาชีวศึกษาที่จะได้เรียนต่อระดับปริญญาตรีสายปฏิบัติการ.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?
page=content&categoryId=42&contentID=135652
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
งานซอฟต์แวร์ไทยน่าห่วง ขาดแคลนกำลังคนนับแสน
ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 29 เม.ย.นี้
มหาวิทยาลัยของรัฐ 25 แห่ง จะมีการหารือร่วมกับสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ หรือ ซิปป้า
ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ในประเทศให้สามารถแข่งขันในตลาดโลก
เพื่อร่วมกันวางแผนการผลิตกำลังคนของประเทศทางด้านสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศว่า ควรเป็นไปในทิศทางใด
และจะมีสูตรในการผลิตอย่างไรให้ได้บัณฑิตที่มีคุณภาพและจำนวนเพียงพอที่จะเข้าไปทำงาน
เนื่องจากขณะนี้สาขาดังกล่าวมีความขาดแคลนอย่างมาก โดยเฉพาะทางด้านแอนิเมชั่น วิศวกรรมซอฟต์แวร์ ที่ขาดแคลนไม่ต่ำกว่า
2 แสนคน เพราะประเทศต้องการคนกลุ่มนี้เพื่อมาพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ
“ถ้าประเทศไทยยังไม่สนใจที่จะผลิตกำลังคนทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ จะทำให้เสียโอกาสในหลายด้าน
และการเป็นฐานการผลิตซอฟต์แวร์ให้แก่ประเทศญี่ปุ่น ที่ต้องการคนทางด้านนี้จำนวนมาก รวมถึงการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
ในปี 2558 ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่มหาวิทยาลัยต่าง ๆ จะต้องให้ความสำคัญกับการผลิตบัณฑิตสาขานี้ให้มากขึ้น
ซึ่งเมื่อจบแล้วประกันการมีงานทำแน่นอน” ศ.(พิเศษ)ดร.ภาวิชกล่าว.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?
page=content&categoryId=42&contentID=135651
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มหาวิทยาลัยของรัฐ 25 แห่ง จะมีการหารือร่วมกับสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ หรือ ซิปป้า
ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ในประเทศให้สามารถแข่งขันในตลาดโลก
เพื่อร่วมกันวางแผนการผลิตกำลังคนของประเทศทางด้านสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศว่า ควรเป็นไปในทิศทางใด
และจะมีสูตรในการผลิตอย่างไรให้ได้บัณฑิตที่มีคุณภาพและจำนวนเพียงพอที่จะเข้าไปทำงาน
เนื่องจากขณะนี้สาขาดังกล่าวมีความขาดแคลนอย่างมาก โดยเฉพาะทางด้านแอนิเมชั่น วิศวกรรมซอฟต์แวร์ ที่ขาดแคลนไม่ต่ำกว่า
2 แสนคน เพราะประเทศต้องการคนกลุ่มนี้เพื่อมาพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ
“ถ้าประเทศไทยยังไม่สนใจที่จะผลิตกำลังคนทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ จะทำให้เสียโอกาสในหลายด้าน
และการเป็นฐานการผลิตซอฟต์แวร์ให้แก่ประเทศญี่ปุ่น ที่ต้องการคนทางด้านนี้จำนวนมาก รวมถึงการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
ในปี 2558 ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่มหาวิทยาลัยต่าง ๆ จะต้องให้ความสำคัญกับการผลิตบัณฑิตสาขานี้ให้มากขึ้น
ซึ่งเมื่อจบแล้วประกันการมีงานทำแน่นอน” ศ.(พิเศษ)ดร.ภาวิชกล่าว.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?
page=content&categoryId=42&contentID=135651
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สพฐ.เก็บข้อมูลครูขอเออร์ลี่
นายกมล ศิริบรรณ ผอ.สำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ (สพร.)สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
(สพฐ.) เปิดเผยว่า
สพฐ.ได้แจ้งไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศให้ดำเนินการโครงการมาตรการปรับปรุงอัตรากำ
ลังส่วนราชการการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด หรือ เออร์ลี่รีไทร์ ประจำปีงบประมาณ 2555 วันที่ 1
ต.ค. 54 ตามที่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) กำหนดแผนมาตรการ
ปรับปรุงอัตรากำลังส่วนราชการออกมา ซึ่งปีนี้ สพฐ.ได้รับการจัดสรรอัตราเออร์ลี่รีไทร์ประมาณ 13,000 อัตรา
โดยจะให้เขตพื้นที่ฯจัดส่งข้อมูลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ต้องการเข้าร่วมโครงการนี้มาภายในวันที่ 31พ.ค.นี้
ผอ.สพร.สพฐ. กล่าวต่อไปว่า สำหรับหลักเกณฑ์ที่ คปร.กำหนดออกมาปีนี้มีการปรับเกณฑ์อายุของผู้ที่จะเข้าโครงการว่า
ต้องเหลืออายุราชการอย่างน้อย 2 ปี และมีอายุราชการ 25 ปีขึ้นไป จากเดิมที่กำหนดว่ามีอายุราชการเหลือเพียง 1 ปี
ก็สามารถเข้าร่วมโครงการได้ ส่วนกรณีข้าราชการครูในสาขาขาดแคลน เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์
นั้นอาจจะไม่ได้รับการอนุมัติให้เข้าโครงการแต่ก็ต้องพิจารณาเหตุผลความจำเป็นเป็นรายกรณีไป
นายกมล กล่าวด้วยว่า ส่วนการลงพื้นที่ติดตามการสอบภาค ก และ ข
ในการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
ตำแหน่งครูผู้ช่วยประจำปีการศึกษา 2554 ระหว่างวันที่ 25-26 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น
การจัดสอบเป็นไปด้วยความเรียบร้อยดียังไม่พบปัญหาการทุจริตแต่อย่างไร.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?
page=content&categoryId=42&contentID=135653
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
(สพฐ.) เปิดเผยว่า
สพฐ.ได้แจ้งไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศให้ดำเนินการโครงการมาตรการปรับปรุงอัตรากำ
ลังส่วนราชการการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด หรือ เออร์ลี่รีไทร์ ประจำปีงบประมาณ 2555 วันที่ 1
ต.ค. 54 ตามที่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) กำหนดแผนมาตรการ
ปรับปรุงอัตรากำลังส่วนราชการออกมา ซึ่งปีนี้ สพฐ.ได้รับการจัดสรรอัตราเออร์ลี่รีไทร์ประมาณ 13,000 อัตรา
โดยจะให้เขตพื้นที่ฯจัดส่งข้อมูลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ต้องการเข้าร่วมโครงการนี้มาภายในวันที่ 31พ.ค.นี้
ผอ.สพร.สพฐ. กล่าวต่อไปว่า สำหรับหลักเกณฑ์ที่ คปร.กำหนดออกมาปีนี้มีการปรับเกณฑ์อายุของผู้ที่จะเข้าโครงการว่า
ต้องเหลืออายุราชการอย่างน้อย 2 ปี และมีอายุราชการ 25 ปีขึ้นไป จากเดิมที่กำหนดว่ามีอายุราชการเหลือเพียง 1 ปี
ก็สามารถเข้าร่วมโครงการได้ ส่วนกรณีข้าราชการครูในสาขาขาดแคลน เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์
นั้นอาจจะไม่ได้รับการอนุมัติให้เข้าโครงการแต่ก็ต้องพิจารณาเหตุผลความจำเป็นเป็นรายกรณีไป
นายกมล กล่าวด้วยว่า ส่วนการลงพื้นที่ติดตามการสอบภาค ก และ ข
ในการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
ตำแหน่งครูผู้ช่วยประจำปีการศึกษา 2554 ระหว่างวันที่ 25-26 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น
การจัดสอบเป็นไปด้วยความเรียบร้อยดียังไม่พบปัญหาการทุจริตแต่อย่างไร.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?
page=content&categoryId=42&contentID=135653
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
จุดประกายนักศึกษาสัตวแพทย์ ช่วยเหลือสัตว์ยามเกิดภัยพิบัต
แทบจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า
มนุษย์สามารถสร้างเทคโนโลยีขึ้นมาใช้อำนวยความสะดวกและป้องกันตัวเองจากภัยรอบตัวมาแล้วมากมายเช่นไร
แต่เหนือสิ่งอื่นใดยังมีสิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าเทคโนโลยีใด ๆ ก็ไม่อาจจะรับมือมันได้เลย และนั่นคือ ภัยพิบัติจากธรรมชาติโดยแท้จริง
เพราะทุกครั้งที่ภัยพิบัติในรูปแบบต่าง ๆ เกิดขึ้นมักจะมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยและไม่บอกล่วงหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว
จนทำให้หลายหมื่นหลายแสนชีวิตต้องสังเวยให้กับภัยธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ตามแม้บางครั้งธรรมชาติได้ส่งสัญญาณเตือนให้มนุษย์เตรียมรับมือ แต่เรามักจะมองข้าม
ซึ่งรูปแบบของสัญญาณปริศนาที่ยากต่อการตีความหมายก็คือ สัญญาณภัยธรรมชาติที่เรียกว่า “พฤติกรรมสัตว์”
ที่มักจะมีพฤติกรรมหรือปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้น เช่น การอพยพของนกจำนวนมาก การเห่าหอนของสุนัข
การร้องของแมวอย่างต่อเนื่อง หรือแม้กระทั่งการตายของสัตว์จำนวนมาก เป็นต้น
ดังนั้นเพื่อเป็นการปกป้องวิถีชีวิตมนุษย์ และเตรียมพร้อมสำหรับสัตว์ก่อนภัยพิบัติทางธรรมชาติจะเกิดขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดทาง
World Society for the Protection of Animals (WSPA) หรือ องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก
ประจำภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงได้จัดโครงการอบรมหน่วยสัตวแพทย์ฉุกเฉินในภาวะภัยพิบัติ
ครั้งที่ 3 ในประเทศไทยขึ้น โดยปีนี้ถือเป็นปีแรกที่มีการรวมตัวของทีมนิสิตสัตวแพทย์จาก 6
มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ม.เชียงใหม่
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ม.มหิดล ม.ขอนแก่น และม.เทคโนโลยีมหานคร
กว่า 60 คน ร่วมสร้างเครือข่ายจัดการกับภาวะภัยธรรมชาติที่มีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น
โดยมีเป้าหมายที่การช่วยเหลือสัตว์ในภาวะภัยพิบัติ ซึ่งยังเป็นการปกป้องวิถีชีวิตมนุษย์ที่ต้องพึ่งพิงสัตว์ต่าง ๆ
ในการดำเนินชีวิตด้วย เนื่องจากประชากรเกินกว่าครึ่งของโลกต้องพึ่งพาอาศัยสัตว์ไม่ว่าจะเป็นการดำรงชีพ แหล่งอาหาร
หรือเป็นพาหนะ
ดร.เอียน เดเคอร์ ผอ.ฝ่ายปฏิบัติการและจัดการด้านภัยพิบัติ WSPA Asis เล่าว่า
จากประสบการณ์ที่เดินทางไปประเทศญี่ปุ่นภายหลังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่
ทำให้เห็นชัดเจนว่าการเตรียมพร้อมในการจัดการภัยพิบัติเป็นสิ่งสำคัญมาก
เพราะภัยพิบัตินั้นไม่สามารถคาดการณ์ได้แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นที่ใด เวลาใดและจะรุนแรงเพียงใด
ดังนั้นจึงต้องมีการเตรียมพร้อมที่ดีทั้งระบบการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์อย่างทันท่วงที
“การจัดโครงการนี้เพื่อมุ่งเสริมสร้างองค์ความรู้และสร้างเครือข่ายนักศึกษาสัตวแพทย์ให้มีความพร้อมเข้าช่วยเหลือสัตว์เมื่อเกิดภัยพิ
บัติทางธรรมชาติที่มีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต” ดร.เอียน กล่าว
นายสัตวแพทย์ณฤทธิ์ ผลเพิ่ม ฝ่ายจัดการภัยพิบัติ สมาคมพิทักษ์สัตว์แห่งโลก (WSPA) หรือ
หมอน๊อต อธิบายถึงการฝึกอบรมว่า นักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการล้วนอยู่ในช่วงกำลังฝึกงานคือ เตรียมคลินิก
ซึ่งจะสามารถริเริ่มความคิดว่าจะมีรูปแบบวิธีการจัดการกับสัตว์ในยามภัยพิบัติได้อย่างไร เช่น การรักษา หรือการตรวจ
และนักศึกษาจะสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้จากการฝึกอบรมไปเสริมสร้างต่อยอดในสิ่งที่เขาเองเรียนอยู่ในห้องเรียนได้อีกด้วย
“การฝึกอบรมให้กับน้อง ๆ จะเป็นองค์ความรู้ในภาพรวมทั้งหมดของปัญหาภัยธรรมชาติ มีการจำลองสถานการณ์ว่า
หากเกิดภัยพิบัติขึ้นจะช่วยเหลือสัตว์วิธีไหนอย่างไร เช่น หากสภาพพื้นที่นั้นขาดน้ำขาดอาหาร
มีโรคระบาดเกิดขึ้น จะมีวิธีการคัดแยกสัตว์ที่ติดโรคและควบคุมสัตว์ได้อย่างไร
เพราะสิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นปัญหากับชุมชนเมื่อยามเกิดภัยพิบัติ ทั้งนี้โครงการของ WSPA
เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นที่อยากให้นิสิตนักศึกษานำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดกระจายความรู้สู่ชุมชนและท้องถิ่นที่เสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติ
เพราะผมมองว่าการเตรียมการของบางพื้นที่ยังไม่ดีพอ โดยเฉพาะจุดที่เกิดน้ำท่วมทุกปี
แต่พบว่าชาวบ้านก็ยังเลี้ยงสัตว์แบบเดิมอยู่ทุกปี ซึ่งอาจเป็นเพราะพื้นที่นั้นต้องอาศัยสัตว์ในการดำรงชีพ
แต่ชาวบ้านก็ยังไม่มีความตระหนักในเรื่องนี้ดีพอไม่ว่าจะเป็นการดูแลสัตว์ ช่วยเหลือสัตว์ หรือการดูแลสัตว์ป่วย” หมอน๊อต
กล่าวย้ำ
หมอน๊อต อธิบายอีกว่า พฤติกรรมของสัตว์มีความเชื่อมโยงกับการเกิดภัยธรรมชาติได้อย่างไรนั้น
เนื่องจากสัตว์รับรู้ความรู้สึกได้เร็วกว่าคน สมมุติว่าหากเราเลี้ยงปลาไว้จำนวนมาก
และสังเกตเมื่อฝูงปลาเริ่มมีการเคลื่อนไหวผิดจากธรรมชาติ แสดงให้เห็นว่าเริ่มมีอะไรบางอย่างจากธรรมชาติเข้ามาแล้ว
ถ้าโลกมีการสั่นไหวหรือการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิก็จะทำให้สัตว์ต่าง ๆ มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
จะเห็นตัวอย่างจากชาวบ้านมอแกน จังหวัดพังงา ที่รู้จักสังเกตพฤติกรรมของฝูงปลา
เมื่อเห็นพฤติกรรมของปลาเปลี่ยนไปก็ทำให้รู้ว่ากำลังจะเกิดภัยพิบัติที่ร้ายแรง และต้องเตรียมย้ายถิ่นฐานขึ้นไปอยู่ในที่สูง
น.ส.จุไรรัตน์ สิงหนาท หรือน้องอีฟ นักศึกษาปี 5 คณะสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
บอกว่า โครงการ WSPA ให้ความรู้การช่วยเหลือสัตว์ในภาวะภัยพิบัติ
ซึ่งตนตั้งใจจะนำความรู้ที่ได้รับไปสร้างกิจกรรมให้ความรู้แก่รุ่นน้องที่คณะเพื่อนำไปเผยแพร่ในชุมชนท้องถิ่นของแต่ละคนต่อไป
ถือได้ว่าเป็นโครงการที่จุดประกายจิตสำนึกในการช่วยเหลือสัตว์ยามเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้การที่ตนเข้ามารับการฝึกอบรมไม่ได้มองว่าจะได้กำไรหรือขาดทุน
แต่ดีใจที่ได้เรียนรู้และหวังจะเห็นเพื่อนมนุษย์หันมารักและใส่ใจต่อสัตว์ที่เป็นเพื่อนร่วมโลกของเรามากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เกิดภัยพิบัติรุนแรง
ขณะที่ เกรียงไกร เอี่ยมสกุล หรือน้องเมี่ยง นักศึกษาปี 4 คณะสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เล่าว่า
เหมือนเป็นการสร้างเสริมประสบการณ์ในการทำงานด้านสัตวแพทย์ หลังจากที่ได้เรียนทางด้านนี้มาแล้ว ทำให้รู้ว่า
เราจะสามารถช่วยเหลือสัตว์ได้อย่างไรในพื้นที่ตามชนบท และในเขตภัยพิบัติ
ซึ่งตนอยากเป็นส่วนหนึ่งที่จะเข้าไปช่วยชาวบ้านให้มีความอุ่นใจว่าสัตว์เลี้ยงของพวกเขาจะมีความปลอดภัย
เพราะชาวบ้านยังต้องใช้สัตว์ในการดำรงชีพ
ก็ถือว่าโครงการนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการดูแลทั้งวิถีชีวิตมุนษย์และสัตว์ให้พร้อมทั้งก่อนและหลังเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ
โดยพึงระลึกอยู่เสมอว่าอย่ามองข้ามที่จะตั้งรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต.
อุทิตา รัตนภักดี
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?
page=content&categoryId=42&contentID=135516
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มนุษย์สามารถสร้างเทคโนโลยีขึ้นมาใช้อำนวยความสะดวกและป้องกันตัวเองจากภัยรอบตัวมาแล้วมากมายเช่นไร
แต่เหนือสิ่งอื่นใดยังมีสิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าเทคโนโลยีใด ๆ ก็ไม่อาจจะรับมือมันได้เลย และนั่นคือ ภัยพิบัติจากธรรมชาติโดยแท้จริง
เพราะทุกครั้งที่ภัยพิบัติในรูปแบบต่าง ๆ เกิดขึ้นมักจะมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยและไม่บอกล่วงหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว
จนทำให้หลายหมื่นหลายแสนชีวิตต้องสังเวยให้กับภัยธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ตามแม้บางครั้งธรรมชาติได้ส่งสัญญาณเตือนให้มนุษย์เตรียมรับมือ แต่เรามักจะมองข้าม
ซึ่งรูปแบบของสัญญาณปริศนาที่ยากต่อการตีความหมายก็คือ สัญญาณภัยธรรมชาติที่เรียกว่า “พฤติกรรมสัตว์”
ที่มักจะมีพฤติกรรมหรือปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้น เช่น การอพยพของนกจำนวนมาก การเห่าหอนของสุนัข
การร้องของแมวอย่างต่อเนื่อง หรือแม้กระทั่งการตายของสัตว์จำนวนมาก เป็นต้น
ดังนั้นเพื่อเป็นการปกป้องวิถีชีวิตมนุษย์ และเตรียมพร้อมสำหรับสัตว์ก่อนภัยพิบัติทางธรรมชาติจะเกิดขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดทาง
World Society for the Protection of Animals (WSPA) หรือ องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก
ประจำภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงได้จัดโครงการอบรมหน่วยสัตวแพทย์ฉุกเฉินในภาวะภัยพิบัติ
ครั้งที่ 3 ในประเทศไทยขึ้น โดยปีนี้ถือเป็นปีแรกที่มีการรวมตัวของทีมนิสิตสัตวแพทย์จาก 6
มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ม.เชียงใหม่
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ม.มหิดล ม.ขอนแก่น และม.เทคโนโลยีมหานคร
กว่า 60 คน ร่วมสร้างเครือข่ายจัดการกับภาวะภัยธรรมชาติที่มีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น
โดยมีเป้าหมายที่การช่วยเหลือสัตว์ในภาวะภัยพิบัติ ซึ่งยังเป็นการปกป้องวิถีชีวิตมนุษย์ที่ต้องพึ่งพิงสัตว์ต่าง ๆ
ในการดำเนินชีวิตด้วย เนื่องจากประชากรเกินกว่าครึ่งของโลกต้องพึ่งพาอาศัยสัตว์ไม่ว่าจะเป็นการดำรงชีพ แหล่งอาหาร
หรือเป็นพาหนะ
ดร.เอียน เดเคอร์ ผอ.ฝ่ายปฏิบัติการและจัดการด้านภัยพิบัติ WSPA Asis เล่าว่า
จากประสบการณ์ที่เดินทางไปประเทศญี่ปุ่นภายหลังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่
ทำให้เห็นชัดเจนว่าการเตรียมพร้อมในการจัดการภัยพิบัติเป็นสิ่งสำคัญมาก
เพราะภัยพิบัตินั้นไม่สามารถคาดการณ์ได้แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นที่ใด เวลาใดและจะรุนแรงเพียงใด
ดังนั้นจึงต้องมีการเตรียมพร้อมที่ดีทั้งระบบการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์อย่างทันท่วงที
“การจัดโครงการนี้เพื่อมุ่งเสริมสร้างองค์ความรู้และสร้างเครือข่ายนักศึกษาสัตวแพทย์ให้มีความพร้อมเข้าช่วยเหลือสัตว์เมื่อเกิดภัยพิ
บัติทางธรรมชาติที่มีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต” ดร.เอียน กล่าว
นายสัตวแพทย์ณฤทธิ์ ผลเพิ่ม ฝ่ายจัดการภัยพิบัติ สมาคมพิทักษ์สัตว์แห่งโลก (WSPA) หรือ
หมอน๊อต อธิบายถึงการฝึกอบรมว่า นักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการล้วนอยู่ในช่วงกำลังฝึกงานคือ เตรียมคลินิก
ซึ่งจะสามารถริเริ่มความคิดว่าจะมีรูปแบบวิธีการจัดการกับสัตว์ในยามภัยพิบัติได้อย่างไร เช่น การรักษา หรือการตรวจ
และนักศึกษาจะสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้จากการฝึกอบรมไปเสริมสร้างต่อยอดในสิ่งที่เขาเองเรียนอยู่ในห้องเรียนได้อีกด้วย
“การฝึกอบรมให้กับน้อง ๆ จะเป็นองค์ความรู้ในภาพรวมทั้งหมดของปัญหาภัยธรรมชาติ มีการจำลองสถานการณ์ว่า
หากเกิดภัยพิบัติขึ้นจะช่วยเหลือสัตว์วิธีไหนอย่างไร เช่น หากสภาพพื้นที่นั้นขาดน้ำขาดอาหาร
มีโรคระบาดเกิดขึ้น จะมีวิธีการคัดแยกสัตว์ที่ติดโรคและควบคุมสัตว์ได้อย่างไร
เพราะสิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นปัญหากับชุมชนเมื่อยามเกิดภัยพิบัติ ทั้งนี้โครงการของ WSPA
เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นที่อยากให้นิสิตนักศึกษานำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดกระจายความรู้สู่ชุมชนและท้องถิ่นที่เสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติ
เพราะผมมองว่าการเตรียมการของบางพื้นที่ยังไม่ดีพอ โดยเฉพาะจุดที่เกิดน้ำท่วมทุกปี
แต่พบว่าชาวบ้านก็ยังเลี้ยงสัตว์แบบเดิมอยู่ทุกปี ซึ่งอาจเป็นเพราะพื้นที่นั้นต้องอาศัยสัตว์ในการดำรงชีพ
แต่ชาวบ้านก็ยังไม่มีความตระหนักในเรื่องนี้ดีพอไม่ว่าจะเป็นการดูแลสัตว์ ช่วยเหลือสัตว์ หรือการดูแลสัตว์ป่วย” หมอน๊อต
กล่าวย้ำ
หมอน๊อต อธิบายอีกว่า พฤติกรรมของสัตว์มีความเชื่อมโยงกับการเกิดภัยธรรมชาติได้อย่างไรนั้น
เนื่องจากสัตว์รับรู้ความรู้สึกได้เร็วกว่าคน สมมุติว่าหากเราเลี้ยงปลาไว้จำนวนมาก
และสังเกตเมื่อฝูงปลาเริ่มมีการเคลื่อนไหวผิดจากธรรมชาติ แสดงให้เห็นว่าเริ่มมีอะไรบางอย่างจากธรรมชาติเข้ามาแล้ว
ถ้าโลกมีการสั่นไหวหรือการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิก็จะทำให้สัตว์ต่าง ๆ มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
จะเห็นตัวอย่างจากชาวบ้านมอแกน จังหวัดพังงา ที่รู้จักสังเกตพฤติกรรมของฝูงปลา
เมื่อเห็นพฤติกรรมของปลาเปลี่ยนไปก็ทำให้รู้ว่ากำลังจะเกิดภัยพิบัติที่ร้ายแรง และต้องเตรียมย้ายถิ่นฐานขึ้นไปอยู่ในที่สูง
น.ส.จุไรรัตน์ สิงหนาท หรือน้องอีฟ นักศึกษาปี 5 คณะสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
บอกว่า โครงการ WSPA ให้ความรู้การช่วยเหลือสัตว์ในภาวะภัยพิบัติ
ซึ่งตนตั้งใจจะนำความรู้ที่ได้รับไปสร้างกิจกรรมให้ความรู้แก่รุ่นน้องที่คณะเพื่อนำไปเผยแพร่ในชุมชนท้องถิ่นของแต่ละคนต่อไป
ถือได้ว่าเป็นโครงการที่จุดประกายจิตสำนึกในการช่วยเหลือสัตว์ยามเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้การที่ตนเข้ามารับการฝึกอบรมไม่ได้มองว่าจะได้กำไรหรือขาดทุน
แต่ดีใจที่ได้เรียนรู้และหวังจะเห็นเพื่อนมนุษย์หันมารักและใส่ใจต่อสัตว์ที่เป็นเพื่อนร่วมโลกของเรามากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เกิดภัยพิบัติรุนแรง
ขณะที่ เกรียงไกร เอี่ยมสกุล หรือน้องเมี่ยง นักศึกษาปี 4 คณะสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เล่าว่า
เหมือนเป็นการสร้างเสริมประสบการณ์ในการทำงานด้านสัตวแพทย์ หลังจากที่ได้เรียนทางด้านนี้มาแล้ว ทำให้รู้ว่า
เราจะสามารถช่วยเหลือสัตว์ได้อย่างไรในพื้นที่ตามชนบท และในเขตภัยพิบัติ
ซึ่งตนอยากเป็นส่วนหนึ่งที่จะเข้าไปช่วยชาวบ้านให้มีความอุ่นใจว่าสัตว์เลี้ยงของพวกเขาจะมีความปลอดภัย
เพราะชาวบ้านยังต้องใช้สัตว์ในการดำรงชีพ
ก็ถือว่าโครงการนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการดูแลทั้งวิถีชีวิตมุนษย์และสัตว์ให้พร้อมทั้งก่อนและหลังเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ
โดยพึงระลึกอยู่เสมอว่าอย่ามองข้ามที่จะตั้งรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต.
อุทิตา รัตนภักดี
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?
page=content&categoryId=42&contentID=135516
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ผู้รับใบอนุญาต“ม.อีสาน”ยอมจำนน
หลังฟังคำชี้แจงสกอ. ยอมรับความผิดทั้งหมด พร้อมยืนยันไม่อุทธรณ์และให้ความร่วมมือคณะกรรมการควบคุมฯ
วันนี้ (29 เม.ย.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ดร.สุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา
(กกอ.) กล่าวว่า ตนได้เชิญ ดร.จรรยา แสวงการ ผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งมหาวิทยาลัยอีสาน (มอส.)
มารับฟังคำชี้แจงรายละเอียดของ สกอ. กรณีที่นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ
ได้ลงนามในคำสั่งให้มหาวิทยาลัยอีสานอยู่ในความควบคุมของ สกอ.พร้อมแต่งตั้งคณะกรรมการควบคุมการดำเนินการของมอส.
โดยมีนายสมนึก พิมลเสถียร อดีตรองผอ.สำนักงบประมาณ เป็นประธาน ซึ่งจะมีผลทำให้สภามหาวิทยาลัย
และผู้บริหารมหาวิทยาลัย พ้นจากตำแหน่งและยุติการปฎิบัติหน้าที่ทั้งหมด
พร้อมทั้งตนได้ชี้แจงบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการควบคุมการดำเนินการของมอส. ที่จะมาทำหน้าที่เหมือนสภามหาวิทยาลัย
แต่ในการดำเนินงานของคณะกรรมการควบคุมฯ ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารมอส. ค่าประชุม ค่าเบี้ยเลี้ยงต่าง
ๆ เป็นต้น ทางมหาวิทยาลัยจะต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด
พร้อมกันนี้ตนเสนอให้ทางผู้รับใบอนุญาตได้ตั้งผู้ที่จะมาทำหน้าที่ประสานงานกับคณะกรรมการควบคุมฯ
ซึ่งได้ตั้งอดีตรองอธิการบดี 2 คน มาทำหน้าที่ดังกล่าว
ดร.สุเมธ กล่าวต่อไปว่า ผู้รับใบอนุญาตฯ รับคำชี้แจงทั้งหมด และยอมรับผลการสอบของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงของ
สกอ. และคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงของสภามหาวิทยาลัยว่าเป็นความผิดพลาดของมหาวิทยาลัย
รวมทั้งเห็นว่าวิกฤติครั้งนี้จะเป็นโอกาสให้มหาวิทยาลัยได้ฟื้นฟูมหาวิทยาลัยให้ทำสิ่งที่ถูกต้อง
มีการจัดการเรียนการสอนที่ได้มาตรฐาน หวังว่าคณะกรรมการวบคุมฯ จะมาช่วยฟื้นฟูมหาวิทยาลัยได้โดยเร็ว
และที่สำคัญที่สุดผู้รับใบอนุญาต จะไม่อุทธรณ์เรื่องที่เกิดขึ้น และยินดีที่จะร่วมมือกับคณะกรรมการควบคุมฯอย่างดีที่สุดด้วย.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?
page=content&categoryID=42&contentID=135707
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันนี้ (29 เม.ย.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ดร.สุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา
(กกอ.) กล่าวว่า ตนได้เชิญ ดร.จรรยา แสวงการ ผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งมหาวิทยาลัยอีสาน (มอส.)
มารับฟังคำชี้แจงรายละเอียดของ สกอ. กรณีที่นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ
ได้ลงนามในคำสั่งให้มหาวิทยาลัยอีสานอยู่ในความควบคุมของ สกอ.พร้อมแต่งตั้งคณะกรรมการควบคุมการดำเนินการของมอส.
โดยมีนายสมนึก พิมลเสถียร อดีตรองผอ.สำนักงบประมาณ เป็นประธาน ซึ่งจะมีผลทำให้สภามหาวิทยาลัย
และผู้บริหารมหาวิทยาลัย พ้นจากตำแหน่งและยุติการปฎิบัติหน้าที่ทั้งหมด
พร้อมทั้งตนได้ชี้แจงบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการควบคุมการดำเนินการของมอส. ที่จะมาทำหน้าที่เหมือนสภามหาวิทยาลัย
แต่ในการดำเนินงานของคณะกรรมการควบคุมฯ ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารมอส. ค่าประชุม ค่าเบี้ยเลี้ยงต่าง
ๆ เป็นต้น ทางมหาวิทยาลัยจะต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด
พร้อมกันนี้ตนเสนอให้ทางผู้รับใบอนุญาตได้ตั้งผู้ที่จะมาทำหน้าที่ประสานงานกับคณะกรรมการควบคุมฯ
ซึ่งได้ตั้งอดีตรองอธิการบดี 2 คน มาทำหน้าที่ดังกล่าว
ดร.สุเมธ กล่าวต่อไปว่า ผู้รับใบอนุญาตฯ รับคำชี้แจงทั้งหมด และยอมรับผลการสอบของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงของ
สกอ. และคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงของสภามหาวิทยาลัยว่าเป็นความผิดพลาดของมหาวิทยาลัย
รวมทั้งเห็นว่าวิกฤติครั้งนี้จะเป็นโอกาสให้มหาวิทยาลัยได้ฟื้นฟูมหาวิทยาลัยให้ทำสิ่งที่ถูกต้อง
มีการจัดการเรียนการสอนที่ได้มาตรฐาน หวังว่าคณะกรรมการวบคุมฯ จะมาช่วยฟื้นฟูมหาวิทยาลัยได้โดยเร็ว
และที่สำคัญที่สุดผู้รับใบอนุญาต จะไม่อุทธรณ์เรื่องที่เกิดขึ้น และยินดีที่จะร่วมมือกับคณะกรรมการควบคุมฯอย่างดีที่สุดด้วย.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?
page=content&categoryID=42&contentID=135707
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
3 ต่อ 1 "ชินวรณ์" ช่างกล้าท้าวิจารณ์โบแดง ศธ.
"เสมา1"เทียบเชิญขาประจำ"สมพงษ์-สุขุม-คุณหญิงกษมา"วิจารณ์จุดอ่อนชี้จุดแข็งผลงานปฏิรูป กศ.1 ปีที่ผ่านมา
คาดเช็กคะแนนเสียงก่อนยุบสภา โดยเฉพาะ"รับนักเรียน-เรียนฟรี 15"
วันที่ 28 เม.ย.54 นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ
เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่า ในวันที่ 3 พ.ค.54 ตนเอง
พร้อมด้วยคณะทำงานได้เตรียมแถลงผลงานด้านการศึกษาตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่ดำรงตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ
โดยที่ผ่านมาได้ขับเคลื่อนการปฎิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สองมาอย่างต่อเนื่อง และความสำเร็จ 1
ปีได้สะท้อนในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการจัดการศึกษาไม่ว่าจะเป็น ผู้ปกครอง
นักเรียน และครู โดยจะเปิดโอกาศให้นักวิชาการและบุคคลที่คร่ำหวอดในวงการศึกษา
ได้แสดงความคิดเห็นและพิพากษ์วิจารณ์ถึงผลงานที่ได้รับการคัดเลือกเป็นผลงานความสำเร็จด้านการปฎิรูปการศึกษาในทศวรรษที่
สอง ไม่ว่าจะเป็นนโยบายเรียนฟรี เรียนดี 15 ปีอย่างมีคุณภาพ การรับนักเรียน หรือโรงเรียนดีประจำตำบล เป็นต้น
โดยคุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.)
จะร่วมแสดงความคิดเห็นต่อการพัฒนาสถานศึกษายุคใหม่ โรงเรียนดีประจำตำบล และคุณภาพครู นายสมพงษ์ จิตระดับ
อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดงความคิดเห็นเรื่องการปฎิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง รศ.ดร.สุขุม
เฉลยทรัพย์ ที่ปรึกษาอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต แสดงความคิดเห็นเรื่องนโยบายการรับนักเรียน เป็นต้น
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตามจะได้มีการพูดถึงนโยบายการรับนักเรียนประจำปีการศึกษา 2554
ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากจนได้รับความชื่นชมจากทุกภาคส่วน ตลอดจนการพัฒนาจุดเน้นคุณภาพผู้เรียน
รวมไปถึงการจัดการศึกษาระดับอาชีวศึกษาเพื่อสนองตอบต่อการพัฒนาประเทศ และการสร้างบัณฑิตยุคใหม่และครูยุคใหม่
ซึ่งแต่ละองค์กรหลักของศธ.จะมีการแสดงความคิดเห็นต่างๆของการดำเนินงานร่วมกันตลอด 1 ปีที่ผ่านมาด้วย โดยเฉพาะการที่
ศธ.ได้เปิดมิติใหม่ด้านการบูรณาการร่วมกันของทุกองค์กรหลัก ศธ.
http://www.siamrath.co.th/web/?q=node/54487
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คาดเช็กคะแนนเสียงก่อนยุบสภา โดยเฉพาะ"รับนักเรียน-เรียนฟรี 15"
วันที่ 28 เม.ย.54 นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ
เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่า ในวันที่ 3 พ.ค.54 ตนเอง
พร้อมด้วยคณะทำงานได้เตรียมแถลงผลงานด้านการศึกษาตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่ดำรงตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ
โดยที่ผ่านมาได้ขับเคลื่อนการปฎิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สองมาอย่างต่อเนื่อง และความสำเร็จ 1
ปีได้สะท้อนในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการจัดการศึกษาไม่ว่าจะเป็น ผู้ปกครอง
นักเรียน และครู โดยจะเปิดโอกาศให้นักวิชาการและบุคคลที่คร่ำหวอดในวงการศึกษา
ได้แสดงความคิดเห็นและพิพากษ์วิจารณ์ถึงผลงานที่ได้รับการคัดเลือกเป็นผลงานความสำเร็จด้านการปฎิรูปการศึกษาในทศวรรษที่
สอง ไม่ว่าจะเป็นนโยบายเรียนฟรี เรียนดี 15 ปีอย่างมีคุณภาพ การรับนักเรียน หรือโรงเรียนดีประจำตำบล เป็นต้น
โดยคุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.)
จะร่วมแสดงความคิดเห็นต่อการพัฒนาสถานศึกษายุคใหม่ โรงเรียนดีประจำตำบล และคุณภาพครู นายสมพงษ์ จิตระดับ
อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดงความคิดเห็นเรื่องการปฎิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง รศ.ดร.สุขุม
เฉลยทรัพย์ ที่ปรึกษาอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต แสดงความคิดเห็นเรื่องนโยบายการรับนักเรียน เป็นต้น
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตามจะได้มีการพูดถึงนโยบายการรับนักเรียนประจำปีการศึกษา 2554
ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากจนได้รับความชื่นชมจากทุกภาคส่วน ตลอดจนการพัฒนาจุดเน้นคุณภาพผู้เรียน
รวมไปถึงการจัดการศึกษาระดับอาชีวศึกษาเพื่อสนองตอบต่อการพัฒนาประเทศ และการสร้างบัณฑิตยุคใหม่และครูยุคใหม่
ซึ่งแต่ละองค์กรหลักของศธ.จะมีการแสดงความคิดเห็นต่างๆของการดำเนินงานร่วมกันตลอด 1 ปีที่ผ่านมาด้วย โดยเฉพาะการที่
ศธ.ได้เปิดมิติใหม่ด้านการบูรณาการร่วมกันของทุกองค์กรหลัก ศธ.
http://www.siamrath.co.th/web/?q=node/54487
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วุฒิปลอม..บ่อนทำลายความมั่นคงชาติ
"ไชยยศ" เผย 2 ตัวช่วยเยียวยา นศ.หาที่เรียน+ชดเชยค่าเสียหาย ลุ้น"ดีเอสไอ"สรุปคดีฟ้อง
ยันเอาผิดถึงที่สุดเพราะทำลายความมั่นคงชาติ เสียหายทางด้าน พร้อมชง ครม.ตั้งกรรมการกลาง ตรวจสอบมหา'ลัยอีกหลายแห่ง
เมื่อวันที่ 28 เม.ย.54 นายไชยยศ จิรเมธากร รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า หลังจากที่ นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ
รมว.ศึกษาธิการ มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการควบคุมมหาวิทยาลัยอีสาน
จะส่งผลให้ผู้บริหารรวมทั้งสภามหาวิทยาลัยต้องยุติบทบาทโดยอัตโนมัติ และคณะกรรมการควบคุม
จะเข้าไปตรวจสอบการดำเนินงานของสภามหาวิทยาลัย และหากพบว่าใครกระทำผิดก็ให้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ซึ่งคาดว่าการดำเนินการตรวจสอบจะเสร็จก่อนมีรัฐบาลชุดใหม่อย่างแน่นอน
ส่วนผลกระทบกับการเรียนการสอนของนักศึกษาที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยอีสาน
นั้นจะไม่มีผลกระทบมหาวิทยาลัยเปิดการเรียนการสอนปกติ
แต่จะมีการตรวจสอบย้อนหลังไปถึงบัณฑิตทุกคนที่จบตั้งแต่เริ่มมีการเรียนการสอนทั้งหลักสูตร ป.บัณฑิตวิชาชีพครู
และทุกหลักสูตรอื่นๆ ที่เปิดสอนว่าจัดการเรียนการสอนได้มาตรฐานตามที่ สกอ.กำหนดหรือไม่
ซึ่งหากคณะกรรมการควบคุมเข้าไปตรวจสอบแล้วพบว่ามหาวิทยาลัยไม่สามารถปรับปรุงให้การเรียนการสอนมีคุณภาพตามที่กำหน
ดได้ก็จะต้องมีการเพิกถอนใบอนุญาต ซึ่งคงใช้เวลาไม่นานก็คงจะทราบผล
เมื่อถามถึงการเยียวยานักศึกษา นายไชยยศ กล่าวต่อไปว่า ต้องแบ่งเป็น 2 กรณีคือ กรณีเด็กที่ซื้อใบ ป.บัณฑิตฯ
หากมาแสดงตัวทาง สกอ.ก็จะกันไว้เป็นพยานและเยียวยาในเรื่องของค่าใช้จ่ายที่เสียไป แต่หากไม่มาแสดงตัว
และไปยื่นสมัครงานทังรัฐและเอกชน ก็จะถูกดำเนินคดีฐานปลอมแปลงเอกสารทางราชการ โดยถือว่ามีความผิดทางอาญา
และหากเข้าทำงานไปแล้วก็อาจจะถูกเรียนเงินเดือนคืนย้อนหลังทั้งหมด และอีกกลุ่ม คือนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่
หากในอนาคตมหาวิทยาลัยถูกปิด สกอ.ก็จะช่วยเหลือเยียวยาโดยจัดหาที่เรียนต่อให้จนจบการศึกษาโดยให้มหาวิทยาลัยอีสาน
เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด
"ขณะนี้ สกอ.ได้ส่งข้อมูลให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ แล้ว
และกำลังพิจารณามูลฐานความผิดว่าจะเข้าข่ายและอยู่ในอำนาจหน้าที่ของดีเอสไอ หรือไม่
หากพบว่าไม่เข้าข่ายก็จะดำเนินการส่งให้กองบังคับการปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)
เพื่อดำเนินการตรวจสอบต่อไป ซึ่งเรื่องนี้ต้องดำเนินการเอาผิดกับทุกคน
ทุกฝ่ายอย่างถึงที่สุด เพราะถือว่าทำลายระบบการศึกษาและความมั่นคงของชาติ
สร้างความเสียหายและเสียโอกาสที่ประเทศจะก้าวไปสู่ประชาคมอาเซียนในอนาคต"
นายไชยยศ กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 3 พ.ค.54
จะเสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกลาง เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ที่ดำเนินการเข้าค่ายซื้อขายปริญญา
เนื่องจากอำนาจของคณะกรรมการการออุดมศึกษา (กกอ.) ที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่เอื้ออำนวย จึงจำเป็นต้องอาศัยอำนาจ ครม.ตั้ง
ซึ่งคาดว่าองค์ประกอบของคณะกรรมการจะมีเลขาธิการ กกอ.เป็นประธาน และมีตัวแทนจาก ดีเอสไอ กองปราบปราม
กระทรวงไอซีที ธนาคารแห่งประเทศไทย กรมสรรพสามิต ร่วมเป็นกรรมการ เป็นต้น
"หน้าที่ของคณะกรรมการกลางชุดนี้ จะตรวจสอบข้อเท็จจริงการซื้อขายปริญญาทุกมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ
โดยเฉพาะการโฆษณาเกินจริงผ่านเว็บไซต์ ซึ่งขณะนี้มีประชาชนร้องเรียนเข้ามาจำนวนหนึ่ง" นายไชยยศ กล่าว
http://www.siamrath.co.th/web/?q=node/54515
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ยันเอาผิดถึงที่สุดเพราะทำลายความมั่นคงชาติ เสียหายทางด้าน พร้อมชง ครม.ตั้งกรรมการกลาง ตรวจสอบมหา'ลัยอีกหลายแห่ง
เมื่อวันที่ 28 เม.ย.54 นายไชยยศ จิรเมธากร รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า หลังจากที่ นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ
รมว.ศึกษาธิการ มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการควบคุมมหาวิทยาลัยอีสาน
จะส่งผลให้ผู้บริหารรวมทั้งสภามหาวิทยาลัยต้องยุติบทบาทโดยอัตโนมัติ และคณะกรรมการควบคุม
จะเข้าไปตรวจสอบการดำเนินงานของสภามหาวิทยาลัย และหากพบว่าใครกระทำผิดก็ให้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ซึ่งคาดว่าการดำเนินการตรวจสอบจะเสร็จก่อนมีรัฐบาลชุดใหม่อย่างแน่นอน
ส่วนผลกระทบกับการเรียนการสอนของนักศึกษาที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยอีสาน
นั้นจะไม่มีผลกระทบมหาวิทยาลัยเปิดการเรียนการสอนปกติ
แต่จะมีการตรวจสอบย้อนหลังไปถึงบัณฑิตทุกคนที่จบตั้งแต่เริ่มมีการเรียนการสอนทั้งหลักสูตร ป.บัณฑิตวิชาชีพครู
และทุกหลักสูตรอื่นๆ ที่เปิดสอนว่าจัดการเรียนการสอนได้มาตรฐานตามที่ สกอ.กำหนดหรือไม่
ซึ่งหากคณะกรรมการควบคุมเข้าไปตรวจสอบแล้วพบว่ามหาวิทยาลัยไม่สามารถปรับปรุงให้การเรียนการสอนมีคุณภาพตามที่กำหน
ดได้ก็จะต้องมีการเพิกถอนใบอนุญาต ซึ่งคงใช้เวลาไม่นานก็คงจะทราบผล
เมื่อถามถึงการเยียวยานักศึกษา นายไชยยศ กล่าวต่อไปว่า ต้องแบ่งเป็น 2 กรณีคือ กรณีเด็กที่ซื้อใบ ป.บัณฑิตฯ
หากมาแสดงตัวทาง สกอ.ก็จะกันไว้เป็นพยานและเยียวยาในเรื่องของค่าใช้จ่ายที่เสียไป แต่หากไม่มาแสดงตัว
และไปยื่นสมัครงานทังรัฐและเอกชน ก็จะถูกดำเนินคดีฐานปลอมแปลงเอกสารทางราชการ โดยถือว่ามีความผิดทางอาญา
และหากเข้าทำงานไปแล้วก็อาจจะถูกเรียนเงินเดือนคืนย้อนหลังทั้งหมด และอีกกลุ่ม คือนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่
หากในอนาคตมหาวิทยาลัยถูกปิด สกอ.ก็จะช่วยเหลือเยียวยาโดยจัดหาที่เรียนต่อให้จนจบการศึกษาโดยให้มหาวิทยาลัยอีสาน
เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด
"ขณะนี้ สกอ.ได้ส่งข้อมูลให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ แล้ว
และกำลังพิจารณามูลฐานความผิดว่าจะเข้าข่ายและอยู่ในอำนาจหน้าที่ของดีเอสไอ หรือไม่
หากพบว่าไม่เข้าข่ายก็จะดำเนินการส่งให้กองบังคับการปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)
เพื่อดำเนินการตรวจสอบต่อไป ซึ่งเรื่องนี้ต้องดำเนินการเอาผิดกับทุกคน
ทุกฝ่ายอย่างถึงที่สุด เพราะถือว่าทำลายระบบการศึกษาและความมั่นคงของชาติ
สร้างความเสียหายและเสียโอกาสที่ประเทศจะก้าวไปสู่ประชาคมอาเซียนในอนาคต"
นายไชยยศ กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 3 พ.ค.54
จะเสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกลาง เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ที่ดำเนินการเข้าค่ายซื้อขายปริญญา
เนื่องจากอำนาจของคณะกรรมการการออุดมศึกษา (กกอ.) ที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่เอื้ออำนวย จึงจำเป็นต้องอาศัยอำนาจ ครม.ตั้ง
ซึ่งคาดว่าองค์ประกอบของคณะกรรมการจะมีเลขาธิการ กกอ.เป็นประธาน และมีตัวแทนจาก ดีเอสไอ กองปราบปราม
กระทรวงไอซีที ธนาคารแห่งประเทศไทย กรมสรรพสามิต ร่วมเป็นกรรมการ เป็นต้น
"หน้าที่ของคณะกรรมการกลางชุดนี้ จะตรวจสอบข้อเท็จจริงการซื้อขายปริญญาทุกมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ
โดยเฉพาะการโฆษณาเกินจริงผ่านเว็บไซต์ ซึ่งขณะนี้มีประชาชนร้องเรียนเข้ามาจำนวนหนึ่ง" นายไชยยศ กล่าว
http://www.siamrath.co.th/web/?q=node/54515
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554
อินเดียประสบความสำเร็จในการปล่อยดาวเทียม 3 ดวงขึ้นสู่วงโคจร
บังกาลอร์ 20 เม.ย.-อินเดียปล่อยจรวดนำดาวเทียม 3 ดวงขึ้นสู่วงโคจรในวันนี้
นับเป็นความพยายามล่าสุดในการเข้าไปมีส่วนแบ่งในตลาดอวกาศเชิงพาณิชย์ของโลก
ดาวเทียมรีซอร์ซแซท-2 ซึ่งเป็นดาวเทียมสำรวจทรัพยากร
เป็นดาวเทียมหลักที่ถูกปล่อยจากศูนย์อวกาศศรีหริโคตาในรัฐอานธรประเทศของ อินเดีย
เพื่อศึกษาผลกระทบของชีวิตมนุษย์ต่อแหล่งทรัพยากรธรรมชาติบนโลก นอกจากนี้ จรวดดังกล่าวยังนำดาวเทียมอินโด-
รัสเซีย สำหรับการศึกษาดวงดาวและชั้นบรรยากาศ รวมทั้งดาวเทียม
ซึ่งสร้างโดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางของสิงคโปร์ขึ้นสู่วงโครจรอีกด้วย
นายเค. ราธากริชนัน ประธานองค์การวิจัยอวกาศอินเดียเปิดเผยว่า ภารกิจรีซอร์ซแซท-2 ประสบความสำเร็จด้วยดี
หลังได้นำดาวเทียมทั้ง 3 ดวงขึ้นสู่วงโคจรเหนือพื้นโลกราว 822 กม. ทั้งนี้
ภารกิจดังกล่าวช่วยผ่อนคลายความกดดันด้านโครงการอวกาศของอินเดีย ซึ่งเผชิญความล้มเหลวครั้งใหญ่ในเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว
เมื่อยานปล่อยดาวเทียมเกิดระเบิดและร่วงลงในอ่าวเบงกอล หลังถูกปล่อยจากพื้นดิน.-สำนักข่าวไทย
http://www.mcot.net/cfcustom/cache_page/198306.html
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นับเป็นความพยายามล่าสุดในการเข้าไปมีส่วนแบ่งในตลาดอวกาศเชิงพาณิชย์ของโลก
ดาวเทียมรีซอร์ซแซท-2 ซึ่งเป็นดาวเทียมสำรวจทรัพยากร
เป็นดาวเทียมหลักที่ถูกปล่อยจากศูนย์อวกาศศรีหริโคตาในรัฐอานธรประเทศของ อินเดีย
เพื่อศึกษาผลกระทบของชีวิตมนุษย์ต่อแหล่งทรัพยากรธรรมชาติบนโลก นอกจากนี้ จรวดดังกล่าวยังนำดาวเทียมอินโด-
รัสเซีย สำหรับการศึกษาดวงดาวและชั้นบรรยากาศ รวมทั้งดาวเทียม
ซึ่งสร้างโดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางของสิงคโปร์ขึ้นสู่วงโครจรอีกด้วย
นายเค. ราธากริชนัน ประธานองค์การวิจัยอวกาศอินเดียเปิดเผยว่า ภารกิจรีซอร์ซแซท-2 ประสบความสำเร็จด้วยดี
หลังได้นำดาวเทียมทั้ง 3 ดวงขึ้นสู่วงโคจรเหนือพื้นโลกราว 822 กม. ทั้งนี้
ภารกิจดังกล่าวช่วยผ่อนคลายความกดดันด้านโครงการอวกาศของอินเดีย ซึ่งเผชิญความล้มเหลวครั้งใหญ่ในเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว
เมื่อยานปล่อยดาวเทียมเกิดระเบิดและร่วงลงในอ่าวเบงกอล หลังถูกปล่อยจากพื้นดิน.-สำนักข่าวไทย
http://www.mcot.net/cfcustom/cache_page/198306.html
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไอซีทีเร่งสรุปแสงอาทิตย์แรงทำไมไทยคมพังดวงเดียว
กรุงเทพฯ 22 เม.ย.-นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที)
กล่าวว่า ได้ประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่จากกระทรวงกลาโหม นักวิชาการมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร
เจ้าหน้าที่ กสท โทรคมนาคม บริษัท ทีโอที และบริษัทไทยคม เพื่อหาข้อสรุปเบื้องต้น
พบว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจนทำให้ไม่สามารถให้บริการสัญญาณดาวเทียมได้
เนื่องจากพลังงานแสงดวงอาทิตย์สูงขึ้นมากสุดในรอบ 11 ปี จึงต้องนำข้อมูลเชิงลึกไปวิเคราะห์เพื่อทราบสาเหตุให้ชัดเจนยิ่งขึ้นอีก
ครั้ง คาดว่าจะใช้เวลา 2-3 สัปดาห์สรุปความเสียหายดังกล่าว
ส่วนความเสียหายของช่องทีวีที่ไม่สามารถออกอากาศได้ ดาวเทียมไทยคมจะชดเชยตามเวลาที่ไม่ได้ออกอากาศ
ส่วนข้อสังเกตว่า มีบุคคลยิงสัญญาณรบกวนนั้นยังไม่ตรวจพบว่าเรื่องดังกล่าว ขณะที่ภาครัฐคงไม่กระทำเช่นนั้น จึงมีคำถามว่า
แสงอาทิตย์แรงทำไมไม่กระทบกับดาวเทียมดวงอื่นให้เสียหาย ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานครยอมรับว่า
คงไม่มีแรงจูงใจทำให้เกิดความเสียหาย เพราะดาวเทียมไทยคมจะเกิดความเสียหายอย่างมากหากดำเนินการดังกล่าว
ขณะที่เจ้าหน้าที่ดาวเทียมไทยคม กล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า ไม่ได้มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าให้ทราบ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์แล้ว
จึงต้องการตรวจสอบข้อมูลให้ละเอียด
ส่วนกรณีการสร้างดาวเทียมไทยคม 6 ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ด้วยการให้จัดสร้างดาวเทียมขึ้นใหม่และยิงส่งขึ้นอวกาศ ขณะนี้ได้ตั้งคณะกรรมการทางเทคนิคเพื่อพิจารณาการจัดสร้าง
จากนั้นจะส่งกลับไปยังคณะกรรมการตามมาตร 22 พ.ร.บ.ร่วมทุน เพื่อเสนอ ครม. พิจารณาอนุมัติให้บริษัทไทยคมจัดสร้างในปี
2556 เพื่อเป็นดาวเทียมสำรองไทยคม 5 เพราะคำพิพากษาระบุว่า
ดาวเทียมไอพีสตาร์เป็นดาวเทียมใหม่ไม่ใช่ดาวเทียมสำรองของไทยคม 5 ขณะนี้เหลืออายุสัมปทาน 8 ปี สิ้นสุดในปี 2564.-
สำนักข่าวไทย
http://www.mcot.net/cfcustom/cache_page/199395.html
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
กล่าวว่า ได้ประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่จากกระทรวงกลาโหม นักวิชาการมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร
เจ้าหน้าที่ กสท โทรคมนาคม บริษัท ทีโอที และบริษัทไทยคม เพื่อหาข้อสรุปเบื้องต้น
พบว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจนทำให้ไม่สามารถให้บริการสัญญาณดาวเทียมได้
เนื่องจากพลังงานแสงดวงอาทิตย์สูงขึ้นมากสุดในรอบ 11 ปี จึงต้องนำข้อมูลเชิงลึกไปวิเคราะห์เพื่อทราบสาเหตุให้ชัดเจนยิ่งขึ้นอีก
ครั้ง คาดว่าจะใช้เวลา 2-3 สัปดาห์สรุปความเสียหายดังกล่าว
ส่วนความเสียหายของช่องทีวีที่ไม่สามารถออกอากาศได้ ดาวเทียมไทยคมจะชดเชยตามเวลาที่ไม่ได้ออกอากาศ
ส่วนข้อสังเกตว่า มีบุคคลยิงสัญญาณรบกวนนั้นยังไม่ตรวจพบว่าเรื่องดังกล่าว ขณะที่ภาครัฐคงไม่กระทำเช่นนั้น จึงมีคำถามว่า
แสงอาทิตย์แรงทำไมไม่กระทบกับดาวเทียมดวงอื่นให้เสียหาย ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานครยอมรับว่า
คงไม่มีแรงจูงใจทำให้เกิดความเสียหาย เพราะดาวเทียมไทยคมจะเกิดความเสียหายอย่างมากหากดำเนินการดังกล่าว
ขณะที่เจ้าหน้าที่ดาวเทียมไทยคม กล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า ไม่ได้มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าให้ทราบ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์แล้ว
จึงต้องการตรวจสอบข้อมูลให้ละเอียด
ส่วนกรณีการสร้างดาวเทียมไทยคม 6 ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ด้วยการให้จัดสร้างดาวเทียมขึ้นใหม่และยิงส่งขึ้นอวกาศ ขณะนี้ได้ตั้งคณะกรรมการทางเทคนิคเพื่อพิจารณาการจัดสร้าง
จากนั้นจะส่งกลับไปยังคณะกรรมการตามมาตร 22 พ.ร.บ.ร่วมทุน เพื่อเสนอ ครม. พิจารณาอนุมัติให้บริษัทไทยคมจัดสร้างในปี
2556 เพื่อเป็นดาวเทียมสำรองไทยคม 5 เพราะคำพิพากษาระบุว่า
ดาวเทียมไอพีสตาร์เป็นดาวเทียมใหม่ไม่ใช่ดาวเทียมสำรองของไทยคม 5 ขณะนี้เหลืออายุสัมปทาน 8 ปี สิ้นสุดในปี 2564.-
สำนักข่าวไทย
http://www.mcot.net/cfcustom/cache_page/199395.html
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เปิดประวัติ"มหาวิทยาลัยอีสาน" ก่อนถูกชี้ขายปริญญา สมบัติครอบครัว"แสวงการ" "ประจวบ ไชยสาส์น"นั่งนายกสภาฯ
"มหาวิทยาลัยอีสาน" กลายเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังขึ้นมาทันที หลังจากเมื่อช่วงเช้าวันที่
27 เม.ย. ที่ผ่านมา นายประจวบ ไชยสาส์น นายกสภามหาวิทยาลัยอีสาน
พร้อมด้วยคณะกรรมการสภา มหาวิทยาลัยได้เปิดแถลงข่าวถึงการออกมาระบุว่า
มีการซื้อขาย ใบประกาศนียบัตรบัณฑิต วิชาชีพครู หรือ ป.บัณฑิต
ของทางมหาวิทยาลัยอีสาน
ซึ่งผลของการตรวจสอบของคณะกรรมการที่สภามหาวิทยาลัยได้แต่งตั้งขึ้นนั้นพบ
ว่ามีมูลว่าผิดจริง
นายประจวบ กล่าวเพิ่มเติมว่า สภา มหาวิทยาลัยได้สั่งพักการปฏิบัติงานของ ดร.อัษฎางค์ แสวงการ อธิการบดีมหาวิทยาลัยอีสาน
ดร.นาคพล เกินชัย คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย นายทัศนะ เกตุมณี รองคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย น.ส.อนงลักษณ์ ชุมปลา
ผู้ช่วยฝ่ายทะเบียนบัณฑิตวิทยาลัย นายณัฎฐนันท์ บัวภา เจ้าหน้าที่ประจำบัณฑิตวิทยาลัย รวมไปถึงรองอธิการบดี ผู้ช่วยอธิการบดี
ทุกคนออกไปอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าการสอบสวนทางวินัยจะเสร็จสิ้น
พร้อม ทั้ง สภาได้มีมติแต่งตั้ง ศ.เกียรติคุณ ดร.สุมนต์ สกลไชย อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น
ปฎิบัติหน้าที่แทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยอีสาน โดยมีผลตั้งแต่วันนี้ (27 เม.ย.) เป็นต้นไป
พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน บุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
หลายคนยังงง และไม่เคยได้ยินว่า มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร..
"มหาวิทยาลัย อีสาน" ได้รับการสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)
กระทรวงศึกษาธิการ ให้เปลี่ยนประเภทจากวิทยาลัยบัณฑิตบริหารธุรกิจ
เป็น "มหาวิทยาลัยอีสาน" เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552 ที่ผ่านมา โดยมี ดร.อัษฏางค์
แสวงการ เป็นอธิการบดี
มหาวิทยาลัย แห่งนี้ พ.ต.ดร.อุดร แสวงการ และ ดร.จรรยา แสวงการ ผู้ก่อตั้ง
(บิดาและมารดา ดร.อัษฏางค์)ได้เริ่มตั้งไข่จากโรงเรียนอนุบาลยูงทองอุปถัมภ์ ในปี พ.ศ.
2517-2520
และในปี 2520-2525 ได้รับอนุญาตจัดตั้งโรงเรียนธุรกิจพานิณิชย์ศิลป์จัดการเรียนการสอนระดับ ปวช. นอกจากนี้
ในระหว่างปี 2520-ปัจจุบัน เปิดโรงเรียน "ขอนแก่นบริหารธุรกิจ" ได้รับรางวัลสถานศึกษาพระราชทานในปี พ.ศ. 2541
และได้รับการรับรองมาตรฐานการศึกษาจากกระทรวงศึกษาธิการในปี พ.ศ. 2541 ขณะที่ ดร.จรรยา มารดา และ ดร.อัษฏางค์
บุตรชาย ได้รับรางวัลผู้บริหารดีเด่น และรางวัลสถานศึกษาที่ได้มาตรฐานชั้นเยี่ยมในปี พ.ศ. 2538 รวมทั้งในปี 2525-ปัจจุบัน
ได้เปิดโรงเรียนสอนงานด้านฝีมือช่างต่าง ๆ ในชื่อ "โรงเรียนเทคโนโลยีธุรกิจอาชีวะ" ด้วย
มาถึงปัจจุบัน "มหาวิทยาลัยอีสาน" แห่งนี้ ได้เปิดสอนทั้งระดับปริญญาตรีและโท ในศูนย์การศึกษานอกสถานที่ตั้ง 4 แห่ง คือ
ศูนย์การศึกษา อ. สว่างแดนดิน จ. สกลนคร, อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี , อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู
และวิทยาลัยการพลศึกษาวิทยาเขตชัยภูมิ จ.ชัยภูมิ
ใน เว็บไซต์ยังระบุเพิ่มเติมว่า มีสาขาที่เปิดสอนอีก ประกอบด้วย คณะนิติศาสตร์ คณะบริหารธุรกิจ คณะศิลปศาสตร์
คณะนิเทศศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
นอกจาก นี้ ในเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย ระบุว่า สำนักงาน
ก.พ.ได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการรับรอบคุณวุฒิของสถาบันอุดมศึกษาในประเทศ ทางเว็บไซต์ของสำนักงาน ก.พ. ซึ่งสำนักงาน
ก.พ.ได้เพิ่มเติมการเปลี่ยนแปลงชื่อวิทยาลัยบัณฑิตบริหารธุรกิจเป็น มหาวิทยาลัยอีสานแล้ว ประกอบด้วย สาขาวิชานิติศาสตร์,
สาขาวิชานิเทศศาสตร์, สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์, สาขาวิชาการบริหารการศึกษา, สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ,
สาขาวิชาการจัดการ, สาขาวิชาการบัญชี, สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ, สาขาวิชาการจัดการอุตสาหกรรม
ส่วน"นาย อัษฏางค์ แสวงการ" อธิการบดีมหาวิทยาลัยนี้ จบการศึกษาจากวิทยาลัยครูเลย, วิทยาลัยบัณฑิตสกลนคร และ
Adumson University เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนเทคโนโลยีธุรกิจอาชีวะ,
ผู้อำนวยการโรงเรียนขอนแก่นบริหารธุรกิจและธุรกิจอาชีวะ, อุปนายกโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน,
เทศมนตรีเทศบาลนครขอนแก่น, คณะกรรมการ ศศ.ว.จ. ฝ่ายวิชาการ จ.ขอนแก่น,
คณะกรรมการสำนักงานประกันคุณภาพรับรองมาตราฐานโรงเรียนเอกชน, คณะกรรมการสมาชิกคุรุสภา
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน จ.ขอนแก่น, อธิการบดีวิทยาลัยบัณฑิตบริหารธุรกิจ
ดร.อัษ ฏางค์ ยังเคยดำรงตำแหน่ง สมาชิกวุฒิสภา จ.ขอนแก่น และเคยสมัครชิงตำแหน่งส.ส.เขต1 จังหวัดขอนแก่น
ในนามพรรคเสรีธรรม เมื่อปี พ.ศ. 2543
ขณะที่ กรรมการมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ประกอบด้วย
1. นายประจวบ ไชยสาส์น เป็นนายกสภามหาวิทยาลัย
2. นางอรุณี ม่วงน้อยเจริญ อุปนายกสภามหาวิทยาลัย
3. ศาสตราจารย์ไชยยศ เหมะรัชตะ กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
4. รองศาสตราจารย์สมนึก เอื้อจิระพงษ์พันธ์ กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
5. รองศาสตราจารย์ชูชาติ อารีจิตรานุสรณ์ กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
6. รองศาสตราจารย์ ดร. สมนต์ สกลไชย กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
7. รองศาสตราจารย์ ดร. เอกฉัท จารุเมธีชน กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
8. นางวันเพ็ญ แกล้วทนงค์ กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
9. นายวิชิต สุวรรณรัตน์ กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
10. นายโอภาส เขียววิชัย กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
11. ดร.สมเกียรติ แพทย์คุณ กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
12. ดร.จรรยา แสวงการ กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
13. ดร.อัษฎางค์ แสวงการ กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
14. ดร.นาคพล เกินชัย กรรมการสภามหาวิทยาลัยคณาจารย์
15. พันตำรวจเอกวุติ ป้อมปักษา กรรมการสภามหาวิทยาลัยคณาจารย์และเลขานุการสภามหาวิทยาลัย
ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า นายประจวบ ไชยสาส์น อดีตเลขาธิการพรรคชาติพัฒนา และอดีตรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย
ปัจจุบันเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยรามคำแหง
ทั้ง นี้ นายประจวบเป็นอดีตหัวหน้าพรรคเสรีธรรม ซึ่งเป็นพรรคที่ ดร.อัษฏางค์ เคยลงสมัครชิงตำแหน่งส.ส. ในจังหวัดขอนแก่น
ก่อนจะตัดสินใจยุบพรรคเสรีธรรม เข้ากับพรรคไทยรักไทย และรับตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย
ต่อมานายประจวบถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี หลับพรรคไทยรักไทยถูกยุบ พ.ศ. 2549
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?
newsid=1303890331&grpid=&catid=19&subcatid=1903
++++++++++++++++++++++++++++++++++
27 เม.ย. ที่ผ่านมา นายประจวบ ไชยสาส์น นายกสภามหาวิทยาลัยอีสาน
พร้อมด้วยคณะกรรมการสภา มหาวิทยาลัยได้เปิดแถลงข่าวถึงการออกมาระบุว่า
มีการซื้อขาย ใบประกาศนียบัตรบัณฑิต วิชาชีพครู หรือ ป.บัณฑิต
ของทางมหาวิทยาลัยอีสาน
ซึ่งผลของการตรวจสอบของคณะกรรมการที่สภามหาวิทยาลัยได้แต่งตั้งขึ้นนั้นพบ
ว่ามีมูลว่าผิดจริง
นายประจวบ กล่าวเพิ่มเติมว่า สภา มหาวิทยาลัยได้สั่งพักการปฏิบัติงานของ ดร.อัษฎางค์ แสวงการ อธิการบดีมหาวิทยาลัยอีสาน
ดร.นาคพล เกินชัย คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย นายทัศนะ เกตุมณี รองคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย น.ส.อนงลักษณ์ ชุมปลา
ผู้ช่วยฝ่ายทะเบียนบัณฑิตวิทยาลัย นายณัฎฐนันท์ บัวภา เจ้าหน้าที่ประจำบัณฑิตวิทยาลัย รวมไปถึงรองอธิการบดี ผู้ช่วยอธิการบดี
ทุกคนออกไปอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าการสอบสวนทางวินัยจะเสร็จสิ้น
พร้อม ทั้ง สภาได้มีมติแต่งตั้ง ศ.เกียรติคุณ ดร.สุมนต์ สกลไชย อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น
ปฎิบัติหน้าที่แทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยอีสาน โดยมีผลตั้งแต่วันนี้ (27 เม.ย.) เป็นต้นไป
พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน บุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
หลายคนยังงง และไม่เคยได้ยินว่า มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร..
"มหาวิทยาลัย อีสาน" ได้รับการสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)
กระทรวงศึกษาธิการ ให้เปลี่ยนประเภทจากวิทยาลัยบัณฑิตบริหารธุรกิจ
เป็น "มหาวิทยาลัยอีสาน" เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552 ที่ผ่านมา โดยมี ดร.อัษฏางค์
แสวงการ เป็นอธิการบดี
มหาวิทยาลัย แห่งนี้ พ.ต.ดร.อุดร แสวงการ และ ดร.จรรยา แสวงการ ผู้ก่อตั้ง
(บิดาและมารดา ดร.อัษฏางค์)ได้เริ่มตั้งไข่จากโรงเรียนอนุบาลยูงทองอุปถัมภ์ ในปี พ.ศ.
2517-2520
และในปี 2520-2525 ได้รับอนุญาตจัดตั้งโรงเรียนธุรกิจพานิณิชย์ศิลป์จัดการเรียนการสอนระดับ ปวช. นอกจากนี้
ในระหว่างปี 2520-ปัจจุบัน เปิดโรงเรียน "ขอนแก่นบริหารธุรกิจ" ได้รับรางวัลสถานศึกษาพระราชทานในปี พ.ศ. 2541
และได้รับการรับรองมาตรฐานการศึกษาจากกระทรวงศึกษาธิการในปี พ.ศ. 2541 ขณะที่ ดร.จรรยา มารดา และ ดร.อัษฏางค์
บุตรชาย ได้รับรางวัลผู้บริหารดีเด่น และรางวัลสถานศึกษาที่ได้มาตรฐานชั้นเยี่ยมในปี พ.ศ. 2538 รวมทั้งในปี 2525-ปัจจุบัน
ได้เปิดโรงเรียนสอนงานด้านฝีมือช่างต่าง ๆ ในชื่อ "โรงเรียนเทคโนโลยีธุรกิจอาชีวะ" ด้วย
มาถึงปัจจุบัน "มหาวิทยาลัยอีสาน" แห่งนี้ ได้เปิดสอนทั้งระดับปริญญาตรีและโท ในศูนย์การศึกษานอกสถานที่ตั้ง 4 แห่ง คือ
ศูนย์การศึกษา อ. สว่างแดนดิน จ. สกลนคร, อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี , อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู
และวิทยาลัยการพลศึกษาวิทยาเขตชัยภูมิ จ.ชัยภูมิ
ใน เว็บไซต์ยังระบุเพิ่มเติมว่า มีสาขาที่เปิดสอนอีก ประกอบด้วย คณะนิติศาสตร์ คณะบริหารธุรกิจ คณะศิลปศาสตร์
คณะนิเทศศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
นอกจาก นี้ ในเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย ระบุว่า สำนักงาน
ก.พ.ได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการรับรอบคุณวุฒิของสถาบันอุดมศึกษาในประเทศ ทางเว็บไซต์ของสำนักงาน ก.พ. ซึ่งสำนักงาน
ก.พ.ได้เพิ่มเติมการเปลี่ยนแปลงชื่อวิทยาลัยบัณฑิตบริหารธุรกิจเป็น มหาวิทยาลัยอีสานแล้ว ประกอบด้วย สาขาวิชานิติศาสตร์,
สาขาวิชานิเทศศาสตร์, สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์, สาขาวิชาการบริหารการศึกษา, สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ,
สาขาวิชาการจัดการ, สาขาวิชาการบัญชี, สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ, สาขาวิชาการจัดการอุตสาหกรรม
ส่วน"นาย อัษฏางค์ แสวงการ" อธิการบดีมหาวิทยาลัยนี้ จบการศึกษาจากวิทยาลัยครูเลย, วิทยาลัยบัณฑิตสกลนคร และ
Adumson University เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนเทคโนโลยีธุรกิจอาชีวะ,
ผู้อำนวยการโรงเรียนขอนแก่นบริหารธุรกิจและธุรกิจอาชีวะ, อุปนายกโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน,
เทศมนตรีเทศบาลนครขอนแก่น, คณะกรรมการ ศศ.ว.จ. ฝ่ายวิชาการ จ.ขอนแก่น,
คณะกรรมการสำนักงานประกันคุณภาพรับรองมาตราฐานโรงเรียนเอกชน, คณะกรรมการสมาชิกคุรุสภา
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน จ.ขอนแก่น, อธิการบดีวิทยาลัยบัณฑิตบริหารธุรกิจ
ดร.อัษ ฏางค์ ยังเคยดำรงตำแหน่ง สมาชิกวุฒิสภา จ.ขอนแก่น และเคยสมัครชิงตำแหน่งส.ส.เขต1 จังหวัดขอนแก่น
ในนามพรรคเสรีธรรม เมื่อปี พ.ศ. 2543
ขณะที่ กรรมการมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ประกอบด้วย
1. นายประจวบ ไชยสาส์น เป็นนายกสภามหาวิทยาลัย
2. นางอรุณี ม่วงน้อยเจริญ อุปนายกสภามหาวิทยาลัย
3. ศาสตราจารย์ไชยยศ เหมะรัชตะ กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
4. รองศาสตราจารย์สมนึก เอื้อจิระพงษ์พันธ์ กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
5. รองศาสตราจารย์ชูชาติ อารีจิตรานุสรณ์ กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
6. รองศาสตราจารย์ ดร. สมนต์ สกลไชย กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
7. รองศาสตราจารย์ ดร. เอกฉัท จารุเมธีชน กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
8. นางวันเพ็ญ แกล้วทนงค์ กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
9. นายวิชิต สุวรรณรัตน์ กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
10. นายโอภาส เขียววิชัย กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
11. ดร.สมเกียรติ แพทย์คุณ กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
12. ดร.จรรยา แสวงการ กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
13. ดร.อัษฎางค์ แสวงการ กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ
14. ดร.นาคพล เกินชัย กรรมการสภามหาวิทยาลัยคณาจารย์
15. พันตำรวจเอกวุติ ป้อมปักษา กรรมการสภามหาวิทยาลัยคณาจารย์และเลขานุการสภามหาวิทยาลัย
ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า นายประจวบ ไชยสาส์น อดีตเลขาธิการพรรคชาติพัฒนา และอดีตรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย
ปัจจุบันเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยรามคำแหง
ทั้ง นี้ นายประจวบเป็นอดีตหัวหน้าพรรคเสรีธรรม ซึ่งเป็นพรรคที่ ดร.อัษฏางค์ เคยลงสมัครชิงตำแหน่งส.ส. ในจังหวัดขอนแก่น
ก่อนจะตัดสินใจยุบพรรคเสรีธรรม เข้ากับพรรคไทยรักไทย และรับตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย
ต่อมานายประจวบถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี หลับพรรคไทยรักไทยถูกยุบ พ.ศ. 2549
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?
newsid=1303890331&grpid=&catid=19&subcatid=1903
++++++++++++++++++++++++++++++++++
สกอ.ส่งกรรมการเทคโอเวอร์ ม.อีสาน
สั่งปรับอธิการบดี 2 แสนบาท ฐานไม่แยกทะเบียนบัณฑิตจริง-ปลอม
วันที่ 27 เม.ย.54 ผู้สื่อข่าวรายงาน
ความคืบหน้าการดำเนินคดีซื้อขายใบปริญญาบัตร
และประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู (ป.บัณฑิตวิชาชีพครู) ซึ่ง
ล่าสุด นายภาวิช ทองโรจน์ รองประธานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
(กกอ.).พร้อมด้วย นายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา
และ นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา
ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการการอุดมศึกษา นัดพิเศษ
โดยนายภาวิช กล่าวว่า ที่ประชุม กกอ.มีมติ 3 ประเด็น คือ
1.เสนอรัฐมนตรีให้มหาวิทยาลัยอีสาน จ.ขอนแก่น อยู่ในควบคุมคุมของ สกอ.
2.เสนอแต่งตั้งคณะกรรมการควบคุม เข้ามาบริหารมหาวิทยาลัยอีสานแทนผู้บริหาร
และสภามหาวิทยาลัย และ 3.เสนอลงโทษเปรียบเทียบปรับอธิการบดี จำนวน 2
00,000 บาท แยก เป็นกรณีอธิการบดี ไม่แยกทะเบียนบัณฑิตปกติกับบัณฑิตที่ซื้อขาย
ป.บัณฑิต จำนวน 100,000 บาท อีก 100,000 บาท
สกอ.พบว่าไม่ได้แจ้งการพ้นสภาพคณาจารย์ที่ขอเปิดหลักสูตรชุดเก่า
ซึ่งการตั้งคณาจารย์ชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ชุดเก่า จะต้องแจ้งให้ สกอ.ทราบ
ซึ่งมีความผิดตาม มาตรา 77
นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติเสนอรายชื่อคณะกรรมการควบคุม จำนวน 17
คน โดยมี นายสมนึก พิมลเสถียร อดีตรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
ที่ดูแลด้านการศึกษา เป็นประธาน นพ.กำจร เป็นเลขานุการและกรรมการ
และรายชื่อคณะกรรมการหลายท่านอยู่ในพื้นที่ จ.ขอนแก่น ทั้งนี้
จะนำรายชื่อคณะกรรมการควบคุมเสนอให้ นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ
ลงนามต่อไป
"คณะ กรรมการควบคุม
ซึ่งการควบคุมก็คือการเข้าไปล้มระบบการบริหารอธิการบดี รองอธิการบดี
สภามหาวิทยา คณาจารย์ และบุคลากรทั้งหมด ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
โดยคณะกรรมการควบคุมจะเข้ามาบริหารแทนบุคคลเหล่านี้ เพื่อไม่ให้สะดุด"
นายภาวิช กล่าว
http://www.siamrath.co.th/web/?q=node/54163
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันที่ 27 เม.ย.54 ผู้สื่อข่าวรายงาน
ความคืบหน้าการดำเนินคดีซื้อขายใบปริญญาบัตร
และประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู (ป.บัณฑิตวิชาชีพครู) ซึ่ง
ล่าสุด นายภาวิช ทองโรจน์ รองประธานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
(กกอ.).พร้อมด้วย นายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา
และ นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา
ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการการอุดมศึกษา นัดพิเศษ
โดยนายภาวิช กล่าวว่า ที่ประชุม กกอ.มีมติ 3 ประเด็น คือ
1.เสนอรัฐมนตรีให้มหาวิทยาลัยอีสาน จ.ขอนแก่น อยู่ในควบคุมคุมของ สกอ.
2.เสนอแต่งตั้งคณะกรรมการควบคุม เข้ามาบริหารมหาวิทยาลัยอีสานแทนผู้บริหาร
และสภามหาวิทยาลัย และ 3.เสนอลงโทษเปรียบเทียบปรับอธิการบดี จำนวน 2
00,000 บาท แยก เป็นกรณีอธิการบดี ไม่แยกทะเบียนบัณฑิตปกติกับบัณฑิตที่ซื้อขาย
ป.บัณฑิต จำนวน 100,000 บาท อีก 100,000 บาท
สกอ.พบว่าไม่ได้แจ้งการพ้นสภาพคณาจารย์ที่ขอเปิดหลักสูตรชุดเก่า
ซึ่งการตั้งคณาจารย์ชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ชุดเก่า จะต้องแจ้งให้ สกอ.ทราบ
ซึ่งมีความผิดตาม มาตรา 77
นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติเสนอรายชื่อคณะกรรมการควบคุม จำนวน 17
คน โดยมี นายสมนึก พิมลเสถียร อดีตรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
ที่ดูแลด้านการศึกษา เป็นประธาน นพ.กำจร เป็นเลขานุการและกรรมการ
และรายชื่อคณะกรรมการหลายท่านอยู่ในพื้นที่ จ.ขอนแก่น ทั้งนี้
จะนำรายชื่อคณะกรรมการควบคุมเสนอให้ นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ
ลงนามต่อไป
"คณะ กรรมการควบคุม
ซึ่งการควบคุมก็คือการเข้าไปล้มระบบการบริหารอธิการบดี รองอธิการบดี
สภามหาวิทยา คณาจารย์ และบุคลากรทั้งหมด ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
โดยคณะกรรมการควบคุมจะเข้ามาบริหารแทนบุคคลเหล่านี้ เพื่อไม่ให้สะดุด"
นายภาวิช กล่าว
http://www.siamrath.co.th/web/?q=node/54163
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
"ชินวรณ์" ยันสถาบันอาชีวะ4ภาคไม่ขัด ก.ม.
เปิดนโนบาย"แบรนด์อาชีวะสร้างชาติ"มุ่งพัฒนาผู้เรียนไปสู่มาตรฐานวิชาชีพ
และตลาดแรงงานสากล
วันที่ 27 เม.ย.54 นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า
ตามที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้เห็นชอบในหลักการร่างกฎกระทรวงเพื่อจัดตั้ง
สถาบันการอาชีวศึกษา4 ฉบับ ซึ่งเป็นการจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษานำร่อง ใน
4 ภูมิภาค ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอนั้น เป็นการจัดตั้งสถาบันใหม่
จากการปรับปรุงวิทยาลัยอาชีวศึกษาเดิม ตามมาตรา 14 แห่ง
พ.ร.บ.การอาชีวศึกษา พ.ศ.2551 ซึ่งมุ่งเน้นความเป็นเลิศเฉพาะทาง โดย
ครม.ให้ ศธ.ไปดำเนินการจัดทำแผนการจัดตั้งให้ชัดเจน เพื่อให้เป็นไปตาม
พ.ร.บ.การอาชีวศึกษา และให้สามารถเปิดรับนักศึกษาได้ในปีการศึกษา 2555 ทั้งนี้
การจัดตั้งสถาบันอาชีวศึกษาใหม่นี้ เป็นการจัดตั้งตามความจำเป็นเร่งด่วน
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อว่า ส่วน ที่เกรงว่าร่างกฎกระทรวง 4
ฉบับ นี้จะขัดกับร่างกฎกระทรวงการจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษา
ที่ผ่านคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(บอร์ด กอศ.) มาก่อนหน้านี้
คงไม่ขัดเพราะร่างฯ ดังกล่าวได้ถูกถอนออกไปแล้ว
อีกทั้งได้ผ่านความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะ
เป็นคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) สำนักงบประมาณ
และสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ต่างเห็นตรงกันว่าการจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษากลุ่มจังหวัด
โดยร่วมการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการจัดอาชีวศึกษา
นั้น เป็นแนวทางที่นำไปสู่การเสริมสร้างมาตรฐานคุณภาพ
การผลิตกำลังคนด้านอาชีวศึกษาให้มีเอกภาพ
และเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับการกระจายอำนาจ โดยระยะแรก
เห็นควรมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตกำลังคนด้านช่างเทคนิค
ช่างฝีมือให้มีคุณภาพและมีสมรรถนะเพิ่มขึ้น
เพื่อสนับสนุนการพัฒนาในกลุ่มจังหวัดและในระดับประเทศ
ด้าน น.ส.นริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ รมช.ศึกษาธิการ กล่าว
ถึงโครงการส่งเสริมภาพลักษณ์ของ สอศ.ว่า
นักเรียนอาชีวะเป็นกลุ่มสำคัญสำหรับผลักดันระบบเศรษฐกิจไทย
เปรียบเสมือนเพชรที่รอการเจียระไน แต่ปัญหาของอาชีวศึกษายังมีปัญหาอีกหลายด้าน
โดยโครงการนี้จะทำการปรับโฉมอาชีวะใหม่ โดยมุ่งพัฒนาใน 4 ด้านหลัก ประกอบด้วย
คุณภาพนักศึกษา ครูอาชีวะยุคใหม่ สถานศึกษา และการบริหารจัดการใหม่
"การปรับภาพลักษณ์ของการศึกษาอาชีวะ
ต้องเริ่มจากความเข้าใจของผู้เรียน ผู้ปกครอง และคนในสังคม โดยชี้ให้เห็นว่า
ช่างฝีมือ ไม่ได้เป็นเพียงความรู้พื้นฐานที่ทุกคนสามารถเรียนรู้เองได้
อย่างการทำอาหาร ซ่อมรถ เย็บผ้า ฯลฯ แต่ช่างฝีมือ
คือ ผู้ที่มีความรู้ในสาขาวิชาของตนเองอย่างถ่องแท้
สามารถใช้ในการประกอบอาชีพ
และต่อยอดสู่การเป็นเจ้าของกิจการหรือผู้ประกอบการในระดับ SMEs ได้
โดยมีจรรยาบรรณของสายอาชีพนั้นๆ คอยกำกับดูแล"
น.ส.นริศรา กล่าวและว่า ขณะเดียวกัน จะมีการผลักดันให้เกิดคุณวุฒิวิชาชีพภายใน
2 ปีนี้ เพื่อรับรองมาตรฐานให้แก่ผู้เรียนสายอาชีพทั้งในและนอกระบบ
ก้าวสู่มาตรฐานตลาดแรงงานสากล ต่อไปผู้ที่เรียนจบอาชีวศึกษาจะเป็นผู้มีคุณภาพ
มีรายได้ดี และเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานทั้งในและต่างประเทศ
http://www.siamrath.co.th/web/?q=node/54157
+++++++++++++++++++++++++++++++++
และตลาดแรงงานสากล
วันที่ 27 เม.ย.54 นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า
ตามที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้เห็นชอบในหลักการร่างกฎกระทรวงเพื่อจัดตั้ง
สถาบันการอาชีวศึกษา4 ฉบับ ซึ่งเป็นการจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษานำร่อง ใน
4 ภูมิภาค ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอนั้น เป็นการจัดตั้งสถาบันใหม่
จากการปรับปรุงวิทยาลัยอาชีวศึกษาเดิม ตามมาตรา 14 แห่ง
พ.ร.บ.การอาชีวศึกษา พ.ศ.2551 ซึ่งมุ่งเน้นความเป็นเลิศเฉพาะทาง โดย
ครม.ให้ ศธ.ไปดำเนินการจัดทำแผนการจัดตั้งให้ชัดเจน เพื่อให้เป็นไปตาม
พ.ร.บ.การอาชีวศึกษา และให้สามารถเปิดรับนักศึกษาได้ในปีการศึกษา 2555 ทั้งนี้
การจัดตั้งสถาบันอาชีวศึกษาใหม่นี้ เป็นการจัดตั้งตามความจำเป็นเร่งด่วน
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อว่า ส่วน ที่เกรงว่าร่างกฎกระทรวง 4
ฉบับ นี้จะขัดกับร่างกฎกระทรวงการจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษา
ที่ผ่านคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(บอร์ด กอศ.) มาก่อนหน้านี้
คงไม่ขัดเพราะร่างฯ ดังกล่าวได้ถูกถอนออกไปแล้ว
อีกทั้งได้ผ่านความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะ
เป็นคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) สำนักงบประมาณ
และสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ต่างเห็นตรงกันว่าการจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษากลุ่มจังหวัด
โดยร่วมการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการจัดอาชีวศึกษา
นั้น เป็นแนวทางที่นำไปสู่การเสริมสร้างมาตรฐานคุณภาพ
การผลิตกำลังคนด้านอาชีวศึกษาให้มีเอกภาพ
และเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับการกระจายอำนาจ โดยระยะแรก
เห็นควรมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตกำลังคนด้านช่างเทคนิค
ช่างฝีมือให้มีคุณภาพและมีสมรรถนะเพิ่มขึ้น
เพื่อสนับสนุนการพัฒนาในกลุ่มจังหวัดและในระดับประเทศ
ด้าน น.ส.นริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ รมช.ศึกษาธิการ กล่าว
ถึงโครงการส่งเสริมภาพลักษณ์ของ สอศ.ว่า
นักเรียนอาชีวะเป็นกลุ่มสำคัญสำหรับผลักดันระบบเศรษฐกิจไทย
เปรียบเสมือนเพชรที่รอการเจียระไน แต่ปัญหาของอาชีวศึกษายังมีปัญหาอีกหลายด้าน
โดยโครงการนี้จะทำการปรับโฉมอาชีวะใหม่ โดยมุ่งพัฒนาใน 4 ด้านหลัก ประกอบด้วย
คุณภาพนักศึกษา ครูอาชีวะยุคใหม่ สถานศึกษา และการบริหารจัดการใหม่
"การปรับภาพลักษณ์ของการศึกษาอาชีวะ
ต้องเริ่มจากความเข้าใจของผู้เรียน ผู้ปกครอง และคนในสังคม โดยชี้ให้เห็นว่า
ช่างฝีมือ ไม่ได้เป็นเพียงความรู้พื้นฐานที่ทุกคนสามารถเรียนรู้เองได้
อย่างการทำอาหาร ซ่อมรถ เย็บผ้า ฯลฯ แต่ช่างฝีมือ
คือ ผู้ที่มีความรู้ในสาขาวิชาของตนเองอย่างถ่องแท้
สามารถใช้ในการประกอบอาชีพ
และต่อยอดสู่การเป็นเจ้าของกิจการหรือผู้ประกอบการในระดับ SMEs ได้
โดยมีจรรยาบรรณของสายอาชีพนั้นๆ คอยกำกับดูแล"
น.ส.นริศรา กล่าวและว่า ขณะเดียวกัน จะมีการผลักดันให้เกิดคุณวุฒิวิชาชีพภายใน
2 ปีนี้ เพื่อรับรองมาตรฐานให้แก่ผู้เรียนสายอาชีพทั้งในและนอกระบบ
ก้าวสู่มาตรฐานตลาดแรงงานสากล ต่อไปผู้ที่เรียนจบอาชีวศึกษาจะเป็นผู้มีคุณภาพ
มีรายได้ดี และเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานทั้งในและต่างประเทศ
http://www.siamrath.co.th/web/?q=node/54157
+++++++++++++++++++++++++++++++++
ศน.ใช้เฟซบุกปลุกเยาวชน5ศาสนาสามัคคี
คมชัดลึก : ศน.ปลุกเยาวชน 5 ศาสนาสามัคคี หวังใช้เฟซบุกเป็นสื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้
วันที่ 27 เม.ย. 2554 ที่อุทยานการเรียนรู้ วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(ศูนย์พัทยา) อ.บางละมุง
จังหวัดชลบุรี กรมการศาสนา(ศน.) กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) ร่วมกับองค์กร 5 ศาสนา จัดค่ายเยาวชนสมานฉันท์ ขึ้น
โดยนายจรูญ นราคร รองอธิบดีศน. กล่าวว่า ศน.ได้ร่วมกับองค์กรศาสนาต่างๆจัดกิจกรรมค่ายเยาวชนสมานฉันท์เป็นประจำทุกปี
เนื่องจากเห็นว่าเป็นวิธีการที่ทำให้เยาวชนที่นับถือศาสนาต่างกันได้มีโอกาสมาเรียนรู้วิถีชีวิตทางศาสนาที่แตกต่าง
พร้อมทั้งทำให้เยาวชนเห็นว่า เพื่อนต่างศาสนามีการปฏิบัติพิธีกรรมในชีวิตประจำวันอย่างไร รู้จักเพื่อนใหม่
ซึ่งเป็นหนทางแห่งการสร้างความรัก ความสามัคคีในหมู่เยาวชน โดยการดำเนินกิจกรรมค่ายเยาวชนสมานฉันท์
องค์กรศาสนาได้คัดเลือกเยาวชนแกนนำแต่ละศาสนา จำนวน 217 คน มาทำกิจกรรมร่วมกันตลอดระยะเวลา 3 วัน 2 คืน
ระหว่างวันที่ 27-28 เม.ย.
นายจรูญ กล่าวอีกว่า เยาวชนจะได้เรียนรู้การเคารพศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ การยอมรับในความแตกต่างหลากหลายทางเชื้อชาติ
ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม ความเสมอภาค ใน 3 ขั้นตอน คือ 1 กระบวนการสร้างปัญญา สร้างความรู้กับการยุติความรุนแรง
การเบียดเบียนซึ่งกันและกันความเข้าใจเกี่ยวกับหลักธรรมทางศาสนาที่ส่งเสริมความสมานฉันท์ ธรรมเนียมปฏิบัติ
พิธีกรรม ความเชื่อ 2.การสร้างจิตสำนึกการเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และ3. การนำไปปฏิบัติ
เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่จะทำให้เยาวชนไทยและสังคมไทย ได้ร่วมมือปลูกฝังค่านิยมความสมานฉันท์
รวมทั้งเป็นผู้นำในการประพฤติปฏิบัติที่แสดงออกถึงความสมานฉันท์จนเป็นวิถีชีวิตประจำวันและขยายต่อถือเพื่อนๆด้วย
“ทุกวันนี้สังคมไทยสามัคคีเฉพาะกลุ่มตัวเอง กลุ่มใครกลุ่มมัน ทะเลาะในเสื้อสีที่ต่างกัน ใส่ร้ายคนอื่น ไม่เคารพกฎหมาย
ไม่เคารพกติกาสังคม รวมทั้งไม่เคารพความคิดเห็นที่แตกต่างกันของคนอื่น จึงทำให้เกิดปัญหาความวุ่นวายเกิดขึ้นในสังคม ดังนั้น
ผมอยากให้เยาวชนที่มาร่วมอบรมนำความรู้ที่ได้รับไปถ่ายทอดให้เพื่อนในโรงเรียนได้รับรู้เข้าใจความหลากหลายทาง
ศาสนาของผู้อื่น ไม่มองว่า คนศาสนาอื่นเป็นศตรู รวมทั้งอยากให้ใช้เฟซบุก เป็นสื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องของศาสนา
และความแตกต่างระหว่างศาสนา จะช่วยให้สังคมไทยในอนาคตเป็นสังคมสมานฉันท์ต่อไป”รองอธิบดีศน.กล่าว
http://www.komchadluek.net/detail/20110427/
วันที่ 27 เม.ย. 2554 ที่อุทยานการเรียนรู้ วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(ศูนย์พัทยา) อ.บางละมุง
จังหวัดชลบุรี กรมการศาสนา(ศน.) กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) ร่วมกับองค์กร 5 ศาสนา จัดค่ายเยาวชนสมานฉันท์ ขึ้น
โดยนายจรูญ นราคร รองอธิบดีศน. กล่าวว่า ศน.ได้ร่วมกับองค์กรศาสนาต่างๆจัดกิจกรรมค่ายเยาวชนสมานฉันท์เป็นประจำทุกปี
เนื่องจากเห็นว่าเป็นวิธีการที่ทำให้เยาวชนที่นับถือศาสนาต่างกันได้มีโอกาสมาเรียนรู้วิถีชีวิตทางศาสนาที่แตกต่าง
พร้อมทั้งทำให้เยาวชนเห็นว่า เพื่อนต่างศาสนามีการปฏิบัติพิธีกรรมในชีวิตประจำวันอย่างไร รู้จักเพื่อนใหม่
ซึ่งเป็นหนทางแห่งการสร้างความรัก ความสามัคคีในหมู่เยาวชน โดยการดำเนินกิจกรรมค่ายเยาวชนสมานฉันท์
องค์กรศาสนาได้คัดเลือกเยาวชนแกนนำแต่ละศาสนา จำนวน 217 คน มาทำกิจกรรมร่วมกันตลอดระยะเวลา 3 วัน 2 คืน
ระหว่างวันที่ 27-28 เม.ย.
นายจรูญ กล่าวอีกว่า เยาวชนจะได้เรียนรู้การเคารพศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ การยอมรับในความแตกต่างหลากหลายทางเชื้อชาติ
ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม ความเสมอภาค ใน 3 ขั้นตอน คือ 1 กระบวนการสร้างปัญญา สร้างความรู้กับการยุติความรุนแรง
การเบียดเบียนซึ่งกันและกันความเข้าใจเกี่ยวกับหลักธรรมทางศาสนาที่ส่งเสริมความสมานฉันท์ ธรรมเนียมปฏิบัติ
พิธีกรรม ความเชื่อ 2.การสร้างจิตสำนึกการเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และ3. การนำไปปฏิบัติ
เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่จะทำให้เยาวชนไทยและสังคมไทย ได้ร่วมมือปลูกฝังค่านิยมความสมานฉันท์
รวมทั้งเป็นผู้นำในการประพฤติปฏิบัติที่แสดงออกถึงความสมานฉันท์จนเป็นวิถีชีวิตประจำวันและขยายต่อถือเพื่อนๆด้วย
“ทุกวันนี้สังคมไทยสามัคคีเฉพาะกลุ่มตัวเอง กลุ่มใครกลุ่มมัน ทะเลาะในเสื้อสีที่ต่างกัน ใส่ร้ายคนอื่น ไม่เคารพกฎหมาย
ไม่เคารพกติกาสังคม รวมทั้งไม่เคารพความคิดเห็นที่แตกต่างกันของคนอื่น จึงทำให้เกิดปัญหาความวุ่นวายเกิดขึ้นในสังคม ดังนั้น
ผมอยากให้เยาวชนที่มาร่วมอบรมนำความรู้ที่ได้รับไปถ่ายทอดให้เพื่อนในโรงเรียนได้รับรู้เข้าใจความหลากหลายทาง
ศาสนาของผู้อื่น ไม่มองว่า คนศาสนาอื่นเป็นศตรู รวมทั้งอยากให้ใช้เฟซบุก เป็นสื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องของศาสนา
และความแตกต่างระหว่างศาสนา จะช่วยให้สังคมไทยในอนาคตเป็นสังคมสมานฉันท์ต่อไป”รองอธิบดีศน.กล่าว
http://www.komchadluek.net/detail/20110427/
แก้ไขพ.ร.บ.รร.เอกชนผ่านฉลุย
ดร.วีรวัฒน์ วรรณศิริ นายกสมาคมโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า
หลังจากที่มีการผลักดันแก้ไขร่างพ.ร.บ.โรงเรียนเอกชนมากว่า 3 ปี ขณะนี้ ร่างพ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน
ฉบับแก้ไข ได้ผ่านวุฒิสภาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกำลังรอนำขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย
ดังนั้นเมื่อร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย
จะทำให้ปัญหาของโรงเรียนเอกชนทุกระดับตั้งแต่ปฐมวัยถึงอาชีวศึกษาที่เกิดจาก พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ.
2550 ได้รับการคลี่คลาย ซึ่งโรงเรียนเอกชนทั่วประเทศรู้สึกดีใจและขอขอบคุณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและ
สมาชิกวุฒิสภาทุกคนที่ให้การสนับสนุนการแก้ไขร่างกฎหมายฉบับนี้
ดร.วีรวัฒน์ กล่าวต่อไป สำหรับโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนจะได้รับผลดีจากร่างแก้ไขพ.ร.บ.ฉบับนี้
คือ โรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน จำนวน 426 โรง จะใช้คำว่า “วิทยาลัยอาชีวศึกษา” หรือ
“วิทยาลัยเทคโนโลยี”แทนคำว่าโรงเรียนได้ ซึ่งจะทำให้เกิดความเสมอภาคระหว่างสถานศึกษาอาชีวศึกษาของรัฐและเอกชน
เนื่องจากที่ผ่านมาการใช้ชื่อโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนสำหรับโรงเรียน อาชีวศึกษาเอกชนและใช้ชื่อวิทยาลัยเทคนิค
วิทยาลัยอาชีวศึกษา วิทยาลัยสารพัดช่าง วิทยาลัยการอาชีพ และอื่นๆ กับสถานศึกษาอาชีวศึกษาของรัฐ นั้น
ทำให้เกิดความแตกต่างทางสังคมและไม่สามารถสื่อกับผู้ปกครองได้ ซึ่งบางคนอาจมองว่าเรื่องชื่อไม่สำคัญ
แต่สำหรับตนเห็นว่าความแตกต่างดังกล่าว ทำให้เกิดแรงกดทางด้านนามธรรมต่อผู้บริหาร ครู
และนักเรียนอาชีวศึกษาเอกชนเป็นอย่างมากและมีความฝังใจอยู่ลึก ๆ ตลอดมา ดังนั้นการแก้ไข พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน
ได้สำเร็จน่าจะทำให้ขวัญกำลังใจของผู้บริหาร ครู และนักเรียนโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนดีขึ้นได้มาก.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?
page=content&categoryId=42&contentID=135422
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลังจากที่มีการผลักดันแก้ไขร่างพ.ร.บ.โรงเรียนเอกชนมากว่า 3 ปี ขณะนี้ ร่างพ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน
ฉบับแก้ไข ได้ผ่านวุฒิสภาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกำลังรอนำขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย
ดังนั้นเมื่อร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย
จะทำให้ปัญหาของโรงเรียนเอกชนทุกระดับตั้งแต่ปฐมวัยถึงอาชีวศึกษาที่เกิดจาก พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ.
2550 ได้รับการคลี่คลาย ซึ่งโรงเรียนเอกชนทั่วประเทศรู้สึกดีใจและขอขอบคุณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและ
สมาชิกวุฒิสภาทุกคนที่ให้การสนับสนุนการแก้ไขร่างกฎหมายฉบับนี้
ดร.วีรวัฒน์ กล่าวต่อไป สำหรับโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนจะได้รับผลดีจากร่างแก้ไขพ.ร.บ.ฉบับนี้
คือ โรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน จำนวน 426 โรง จะใช้คำว่า “วิทยาลัยอาชีวศึกษา” หรือ
“วิทยาลัยเทคโนโลยี”แทนคำว่าโรงเรียนได้ ซึ่งจะทำให้เกิดความเสมอภาคระหว่างสถานศึกษาอาชีวศึกษาของรัฐและเอกชน
เนื่องจากที่ผ่านมาการใช้ชื่อโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนสำหรับโรงเรียน อาชีวศึกษาเอกชนและใช้ชื่อวิทยาลัยเทคนิค
วิทยาลัยอาชีวศึกษา วิทยาลัยสารพัดช่าง วิทยาลัยการอาชีพ และอื่นๆ กับสถานศึกษาอาชีวศึกษาของรัฐ นั้น
ทำให้เกิดความแตกต่างทางสังคมและไม่สามารถสื่อกับผู้ปกครองได้ ซึ่งบางคนอาจมองว่าเรื่องชื่อไม่สำคัญ
แต่สำหรับตนเห็นว่าความแตกต่างดังกล่าว ทำให้เกิดแรงกดทางด้านนามธรรมต่อผู้บริหาร ครู
และนักเรียนอาชีวศึกษาเอกชนเป็นอย่างมากและมีความฝังใจอยู่ลึก ๆ ตลอดมา ดังนั้นการแก้ไข พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน
ได้สำเร็จน่าจะทำให้ขวัญกำลังใจของผู้บริหาร ครู และนักเรียนโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนดีขึ้นได้มาก.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?
page=content&categoryId=42&contentID=135422
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ครม.ผ่านร่างกฎก.พ.อ.ปรับเงินเดือนคนอุดมฯ
นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อเร็ว ๆ นี้
ที่ประชุมได้อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.สถาบันวิทยาลัยชุมชน ตามที่ ศธ.ได้เสนอ ซึ่งการจัดตั้งสถาบันวิทยาลัยชุมชน
มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสถานศึกษาที่รองรับการจัดการศึกษาที่ต่ำกว่าระดับ ปริญญาตรี
รวมถึงการฝึกอบรมด้านวิชาการและวิชาชีพที่คำนึงถึงการประสานความร่วมมือ ระหว่างมหาวิทยาลัย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(อปท.) ชุมชน และองค์กรอื่น ๆ ที่สำคัญเพื่อสนองต่อความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นและชุมชนอย่างแท้จริง
รมว.ศธ.กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมยังได้อนุมัติร่างกฎคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดม
ศึกษา(ก.พ.อ.)ว่าด้วยการปรับเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนใน สถาบันอุดมศึกษา
โดยได้กำหนดให้ปรับเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดม ศึกษาตามที่กำหนดไว้ในบัญชีท้าย
และอนุมัติร่างกฎ ก.พ.อ.ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้รับเงินเดือน ตามที่
ศธ.เสนอทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับการที่ได้ปรับอัตราเงินเดือนขั้นต่ำขั้น
สูงของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ได้อนุมัติไปก่อนหน้านี้ โดยกฎ ก.พ.อ.ทั้ง 2 ฉบับให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1
เม.ย. เป็นต้นไป.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?
page=content&categoryId=42&contentID=135425
++++++++++++++++++++++++++++++++++
ที่ประชุมได้อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.สถาบันวิทยาลัยชุมชน ตามที่ ศธ.ได้เสนอ ซึ่งการจัดตั้งสถาบันวิทยาลัยชุมชน
มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสถานศึกษาที่รองรับการจัดการศึกษาที่ต่ำกว่าระดับ ปริญญาตรี
รวมถึงการฝึกอบรมด้านวิชาการและวิชาชีพที่คำนึงถึงการประสานความร่วมมือ ระหว่างมหาวิทยาลัย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(อปท.) ชุมชน และองค์กรอื่น ๆ ที่สำคัญเพื่อสนองต่อความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นและชุมชนอย่างแท้จริง
รมว.ศธ.กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมยังได้อนุมัติร่างกฎคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดม
ศึกษา(ก.พ.อ.)ว่าด้วยการปรับเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนใน สถาบันอุดมศึกษา
โดยได้กำหนดให้ปรับเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดม ศึกษาตามที่กำหนดไว้ในบัญชีท้าย
และอนุมัติร่างกฎ ก.พ.อ.ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้รับเงินเดือน ตามที่
ศธ.เสนอทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับการที่ได้ปรับอัตราเงินเดือนขั้นต่ำขั้น
สูงของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ได้อนุมัติไปก่อนหน้านี้ โดยกฎ ก.พ.อ.ทั้ง 2 ฉบับให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1
เม.ย. เป็นต้นไป.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?
page=content&categoryId=42&contentID=135425
++++++++++++++++++++++++++++++++++
เผยข้อดีการมีกรอบคุณวุฒิ
จากการประชุมนานาชาติ เรื่องการพัฒนากรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ที่ โรงแรมพูลแมนคิงเพาเวอร์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่
27 เม.ย. โดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ร่วมกับองค์การร่วมมือทางการศึกษาต่าง ๆ และ
องค์การระหว่างประเทศรวม 17 ประเทศ นั้น ผศ.ดร.สืบแสง พรหมบุญ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ
กล่าวว่า ปัจจุบันนานาประเทศได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนา กรอบคุณวุฒิแห่งชาติ
ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนากำลังคนให้มีความรู้ความสามารถตรงตามความ
ต้องการของตลาดแรงงานทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ
เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้วยกระบวนการเทียบโอนประสบการณ์
มองเห็นถึงเส้นทางการเรียนรู้และความก้าวหน้าอย่างชัดเจน
และยังเป็นการส่งเสริมการประกันคุณภาพของระบบการศึกษาและบุคคลตามระดับ คุณวุฒิอีกด้วย ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญมาก
นายโช กวาง ชาง ผอ.ส่วนนโยบายและปฏิรูปการศึกษา สำนักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ กล่าวว่า
นานาชาติต่างกำลังยกระดับคุณวุฒิทางการศึกษาให้สามารถเทียบเคียงกันได้
ระหว่างวุฒิทางการศึกษาที่แต่ละคนสำเร็จกับมาตรฐานขั้นต่ำในแต่ละอาชีพที่ ตลาดแรงงานต้องการ
แต่จากประสบการณ์คิดว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเกี่ยวข้องกับบุคคลหลายฝ่ายโดยเฉพาะฝ่ายการศึกษาและภาคธุรกิจ
อุตสาหกรรมที่มีความต้องการหลากหลาย ดังนั้นประเทศ ต่าง ๆ จึงต้องพยายามหาฉันทามติจากทั้ง 2
กลุ่มในการกำหนดความรู้ความสามารถและทักษะของผู้สำเร็จการศึกษาที่ฝ่ายผู้ ใช้กำลังคนยอมรับได้.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?
page=content&categoryId=42&contentID=135427
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
27 เม.ย. โดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ร่วมกับองค์การร่วมมือทางการศึกษาต่าง ๆ และ
องค์การระหว่างประเทศรวม 17 ประเทศ นั้น ผศ.ดร.สืบแสง พรหมบุญ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ
กล่าวว่า ปัจจุบันนานาประเทศได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนา กรอบคุณวุฒิแห่งชาติ
ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนากำลังคนให้มีความรู้ความสามารถตรงตามความ
ต้องการของตลาดแรงงานทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ
เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้วยกระบวนการเทียบโอนประสบการณ์
มองเห็นถึงเส้นทางการเรียนรู้และความก้าวหน้าอย่างชัดเจน
และยังเป็นการส่งเสริมการประกันคุณภาพของระบบการศึกษาและบุคคลตามระดับ คุณวุฒิอีกด้วย ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญมาก
นายโช กวาง ชาง ผอ.ส่วนนโยบายและปฏิรูปการศึกษา สำนักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ กล่าวว่า
นานาชาติต่างกำลังยกระดับคุณวุฒิทางการศึกษาให้สามารถเทียบเคียงกันได้
ระหว่างวุฒิทางการศึกษาที่แต่ละคนสำเร็จกับมาตรฐานขั้นต่ำในแต่ละอาชีพที่ ตลาดแรงงานต้องการ
แต่จากประสบการณ์คิดว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเกี่ยวข้องกับบุคคลหลายฝ่ายโดยเฉพาะฝ่ายการศึกษาและภาคธุรกิจ
อุตสาหกรรมที่มีความต้องการหลากหลาย ดังนั้นประเทศ ต่าง ๆ จึงต้องพยายามหาฉันทามติจากทั้ง 2
กลุ่มในการกำหนดความรู้ความสามารถและทักษะของผู้สำเร็จการศึกษาที่ฝ่ายผู้ ใช้กำลังคนยอมรับได้.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?
page=content&categoryId=42&contentID=135427
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ชะลอโครงการครูพันธุ์ใหม่6ปีเหตุใกล้ยุบสภาเข้าคร ม.ไม่ทัน
นายไชยยศ จิรเมธากร รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่ เมื่อเร็ว ๆ นี้
ที่ประชุมได้มีมติชะลอโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่ปริญญาตรีควบปริญญาโท 6 ปี
จากเดิมที่กำหนดว่าจะให้ดำเนินการในปีการศึกษา 2554 โดยให้เหตุผลว่าเนื่องจากสถาบันฝ่ายผลิตครูยังไม่มีความพร้อม
อีกทั้งจะมีการยุบสภาในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งจะมีผลให้ไม่สามารถนำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ทันรัฐบาลนี้
ดังนั้นที่ประชุมจึงมีมติให้การดำเนินการผลิตครูในปีการศึกษา 2554 เป็นการผลิตครูหลักสูตรครูระดับปริญญาตรี 5 ปี
และหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู (ป.บัณฑิตวิชาชีพครู) หรือ 4+1 ตามเดิม โดยให้มีการผลิตครูจำนวน 6,200
คน แยกเป็นการให้ทุนเรียนและประกันการมีงานทำ 2,400 คน แบ่งเป็น รับนักเรียนชั้น ม. 6 จำนวน 1,100 คน
ป.บัณฑิตฯ 1,300 คน ส่วนการประกันการมีงานทำ จำนวน 3,800 คน แยกเป็นรับนักเรียนชั้น ม.6 จำนวน 1,600 คน
รับนิสิตนักศึกษาที่จะขึ้นปี 4 จำนวน 1,000 คน และ หลักสูตร ป.บัณฑิตฯ จำนวน 1,200 คน
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาคุรุสภามีมติไม่รับรองหลักสูตร ป.บัณฑิตฯ ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม
2553 แต่เปิดช่องว่าสามารถขออนุมัติเปิดสอนได้จากคุรุสภาเป็นรายกรณีหากผู้ใช้ ต้องการให้ผลิต เช่น
สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
มีความต้องการครูอาจารย์ในสาขาต่าง ๆ เช่น สาขาช่างที่ขาดแคลน สาขาทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เป็นต้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จะเสนอไปยังคุรุสภาเพื่อขอผลิตหลักสูตร
ป.บัณฑิตฯเพื่อโครงการนี้ต่อไป แต่คณะกรรมการบริหารโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่
จะต้องเข้าไปประเมินก่อนว่าจะมีสถาบันใดบ้างที่สามารถผลิตหลักสูตร ป.บัณฑิตฯเพื่อโครงการนี้ได้
จากนั้นจึงจะเสนอต่อคุรุสภาเพื่อพิจารณาอนุมัติและแจ้งให้นักศึกษาทราบต่อไป
“ขอย้ำว่ามติการผลิตครูหลักสูตร 5 ปี และ ป.บัณฑิตฯนี้ เป็นมติเฉพาะกิจที่จะใช้ดำเนินการในปีการศึกษา 2554 เท่านั้น
ส่วนโครงการครูพันธุ์ใหม่ 6 ปี ก็ยังไม่ถือว่าล่ม เพราะจะดำเนินการในปีการศึกษา 2555
ซึ่งคิดว่าสถาบันฝ่ายผลิตครูน่าจะมีความพร้อม อย่างไรก็ตามสำหรับมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการนี้ที่ให้ทุนและ
ประกันการมีงานทำหรือประกันเฉพาะการมีงานทำนั้น ให้ดำเนินการสอนหลักสูตรครู 5 ปีได้ตามปกติ” นายไชยยศ กล่าว.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?
page=content&categoryId=42&contentID=135419
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ที่ประชุมได้มีมติชะลอโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่ปริญญาตรีควบปริญญาโท 6 ปี
จากเดิมที่กำหนดว่าจะให้ดำเนินการในปีการศึกษา 2554 โดยให้เหตุผลว่าเนื่องจากสถาบันฝ่ายผลิตครูยังไม่มีความพร้อม
อีกทั้งจะมีการยุบสภาในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งจะมีผลให้ไม่สามารถนำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ทันรัฐบาลนี้
ดังนั้นที่ประชุมจึงมีมติให้การดำเนินการผลิตครูในปีการศึกษา 2554 เป็นการผลิตครูหลักสูตรครูระดับปริญญาตรี 5 ปี
และหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู (ป.บัณฑิตวิชาชีพครู) หรือ 4+1 ตามเดิม โดยให้มีการผลิตครูจำนวน 6,200
คน แยกเป็นการให้ทุนเรียนและประกันการมีงานทำ 2,400 คน แบ่งเป็น รับนักเรียนชั้น ม. 6 จำนวน 1,100 คน
ป.บัณฑิตฯ 1,300 คน ส่วนการประกันการมีงานทำ จำนวน 3,800 คน แยกเป็นรับนักเรียนชั้น ม.6 จำนวน 1,600 คน
รับนิสิตนักศึกษาที่จะขึ้นปี 4 จำนวน 1,000 คน และ หลักสูตร ป.บัณฑิตฯ จำนวน 1,200 คน
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาคุรุสภามีมติไม่รับรองหลักสูตร ป.บัณฑิตฯ ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม
2553 แต่เปิดช่องว่าสามารถขออนุมัติเปิดสอนได้จากคุรุสภาเป็นรายกรณีหากผู้ใช้ ต้องการให้ผลิต เช่น
สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
มีความต้องการครูอาจารย์ในสาขาต่าง ๆ เช่น สาขาช่างที่ขาดแคลน สาขาทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เป็นต้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จะเสนอไปยังคุรุสภาเพื่อขอผลิตหลักสูตร
ป.บัณฑิตฯเพื่อโครงการนี้ต่อไป แต่คณะกรรมการบริหารโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่
จะต้องเข้าไปประเมินก่อนว่าจะมีสถาบันใดบ้างที่สามารถผลิตหลักสูตร ป.บัณฑิตฯเพื่อโครงการนี้ได้
จากนั้นจึงจะเสนอต่อคุรุสภาเพื่อพิจารณาอนุมัติและแจ้งให้นักศึกษาทราบต่อไป
“ขอย้ำว่ามติการผลิตครูหลักสูตร 5 ปี และ ป.บัณฑิตฯนี้ เป็นมติเฉพาะกิจที่จะใช้ดำเนินการในปีการศึกษา 2554 เท่านั้น
ส่วนโครงการครูพันธุ์ใหม่ 6 ปี ก็ยังไม่ถือว่าล่ม เพราะจะดำเนินการในปีการศึกษา 2555
ซึ่งคิดว่าสถาบันฝ่ายผลิตครูน่าจะมีความพร้อม อย่างไรก็ตามสำหรับมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการนี้ที่ให้ทุนและ
ประกันการมีงานทำหรือประกันเฉพาะการมีงานทำนั้น ให้ดำเนินการสอนหลักสูตรครู 5 ปีได้ตามปกติ” นายไชยยศ กล่าว.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?
page=content&categoryId=42&contentID=135419
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)