แทบจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า
มนุษย์สามารถสร้างเทคโนโลยีขึ้นมาใช้อำนวยความสะดวกและป้องกันตัวเองจากภัยรอบตัวมาแล้วมากมายเช่นไร
แต่เหนือสิ่งอื่นใดยังมีสิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าเทคโนโลยีใด ๆ ก็ไม่อาจจะรับมือมันได้เลย และนั่นคือ ภัยพิบัติจากธรรมชาติโดยแท้จริง
เพราะทุกครั้งที่ภัยพิบัติในรูปแบบต่าง ๆ เกิดขึ้นมักจะมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยและไม่บอกล่วงหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว
จนทำให้หลายหมื่นหลายแสนชีวิตต้องสังเวยให้กับภัยธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ตามแม้บางครั้งธรรมชาติได้ส่งสัญญาณเตือนให้มนุษย์เตรียมรับมือ แต่เรามักจะมองข้าม
ซึ่งรูปแบบของสัญญาณปริศนาที่ยากต่อการตีความหมายก็คือ สัญญาณภัยธรรมชาติที่เรียกว่า “พฤติกรรมสัตว์”
ที่มักจะมีพฤติกรรมหรือปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้น เช่น การอพยพของนกจำนวนมาก การเห่าหอนของสุนัข
การร้องของแมวอย่างต่อเนื่อง หรือแม้กระทั่งการตายของสัตว์จำนวนมาก เป็นต้น
ดังนั้นเพื่อเป็นการปกป้องวิถีชีวิตมนุษย์ และเตรียมพร้อมสำหรับสัตว์ก่อนภัยพิบัติทางธรรมชาติจะเกิดขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดทาง
World Society for the Protection of Animals (WSPA) หรือ องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก
ประจำภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงได้จัดโครงการอบรมหน่วยสัตวแพทย์ฉุกเฉินในภาวะภัยพิบัติ
ครั้งที่ 3 ในประเทศไทยขึ้น โดยปีนี้ถือเป็นปีแรกที่มีการรวมตัวของทีมนิสิตสัตวแพทย์จาก 6
มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ม.เชียงใหม่
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ม.มหิดล ม.ขอนแก่น และม.เทคโนโลยีมหานคร
กว่า 60 คน ร่วมสร้างเครือข่ายจัดการกับภาวะภัยธรรมชาติที่มีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น
โดยมีเป้าหมายที่การช่วยเหลือสัตว์ในภาวะภัยพิบัติ ซึ่งยังเป็นการปกป้องวิถีชีวิตมนุษย์ที่ต้องพึ่งพิงสัตว์ต่าง ๆ
ในการดำเนินชีวิตด้วย เนื่องจากประชากรเกินกว่าครึ่งของโลกต้องพึ่งพาอาศัยสัตว์ไม่ว่าจะเป็นการดำรงชีพ แหล่งอาหาร
หรือเป็นพาหนะ
ดร.เอียน เดเคอร์ ผอ.ฝ่ายปฏิบัติการและจัดการด้านภัยพิบัติ WSPA Asis เล่าว่า
จากประสบการณ์ที่เดินทางไปประเทศญี่ปุ่นภายหลังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่
ทำให้เห็นชัดเจนว่าการเตรียมพร้อมในการจัดการภัยพิบัติเป็นสิ่งสำคัญมาก
เพราะภัยพิบัตินั้นไม่สามารถคาดการณ์ได้แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นที่ใด เวลาใดและจะรุนแรงเพียงใด
ดังนั้นจึงต้องมีการเตรียมพร้อมที่ดีทั้งระบบการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์อย่างทันท่วงที
“การจัดโครงการนี้เพื่อมุ่งเสริมสร้างองค์ความรู้และสร้างเครือข่ายนักศึกษาสัตวแพทย์ให้มีความพร้อมเข้าช่วยเหลือสัตว์เมื่อเกิดภัยพิ
บัติทางธรรมชาติที่มีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต” ดร.เอียน กล่าว
นายสัตวแพทย์ณฤทธิ์ ผลเพิ่ม ฝ่ายจัดการภัยพิบัติ สมาคมพิทักษ์สัตว์แห่งโลก (WSPA) หรือ
หมอน๊อต อธิบายถึงการฝึกอบรมว่า นักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการล้วนอยู่ในช่วงกำลังฝึกงานคือ เตรียมคลินิก
ซึ่งจะสามารถริเริ่มความคิดว่าจะมีรูปแบบวิธีการจัดการกับสัตว์ในยามภัยพิบัติได้อย่างไร เช่น การรักษา หรือการตรวจ
และนักศึกษาจะสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้จากการฝึกอบรมไปเสริมสร้างต่อยอดในสิ่งที่เขาเองเรียนอยู่ในห้องเรียนได้อีกด้วย
“การฝึกอบรมให้กับน้อง ๆ จะเป็นองค์ความรู้ในภาพรวมทั้งหมดของปัญหาภัยธรรมชาติ มีการจำลองสถานการณ์ว่า
หากเกิดภัยพิบัติขึ้นจะช่วยเหลือสัตว์วิธีไหนอย่างไร เช่น หากสภาพพื้นที่นั้นขาดน้ำขาดอาหาร
มีโรคระบาดเกิดขึ้น จะมีวิธีการคัดแยกสัตว์ที่ติดโรคและควบคุมสัตว์ได้อย่างไร
เพราะสิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นปัญหากับชุมชนเมื่อยามเกิดภัยพิบัติ ทั้งนี้โครงการของ WSPA
เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นที่อยากให้นิสิตนักศึกษานำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดกระจายความรู้สู่ชุมชนและท้องถิ่นที่เสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติ
เพราะผมมองว่าการเตรียมการของบางพื้นที่ยังไม่ดีพอ โดยเฉพาะจุดที่เกิดน้ำท่วมทุกปี
แต่พบว่าชาวบ้านก็ยังเลี้ยงสัตว์แบบเดิมอยู่ทุกปี ซึ่งอาจเป็นเพราะพื้นที่นั้นต้องอาศัยสัตว์ในการดำรงชีพ
แต่ชาวบ้านก็ยังไม่มีความตระหนักในเรื่องนี้ดีพอไม่ว่าจะเป็นการดูแลสัตว์ ช่วยเหลือสัตว์ หรือการดูแลสัตว์ป่วย” หมอน๊อต
กล่าวย้ำ
หมอน๊อต อธิบายอีกว่า พฤติกรรมของสัตว์มีความเชื่อมโยงกับการเกิดภัยธรรมชาติได้อย่างไรนั้น
เนื่องจากสัตว์รับรู้ความรู้สึกได้เร็วกว่าคน สมมุติว่าหากเราเลี้ยงปลาไว้จำนวนมาก
และสังเกตเมื่อฝูงปลาเริ่มมีการเคลื่อนไหวผิดจากธรรมชาติ แสดงให้เห็นว่าเริ่มมีอะไรบางอย่างจากธรรมชาติเข้ามาแล้ว
ถ้าโลกมีการสั่นไหวหรือการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิก็จะทำให้สัตว์ต่าง ๆ มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
จะเห็นตัวอย่างจากชาวบ้านมอแกน จังหวัดพังงา ที่รู้จักสังเกตพฤติกรรมของฝูงปลา
เมื่อเห็นพฤติกรรมของปลาเปลี่ยนไปก็ทำให้รู้ว่ากำลังจะเกิดภัยพิบัติที่ร้ายแรง และต้องเตรียมย้ายถิ่นฐานขึ้นไปอยู่ในที่สูง
น.ส.จุไรรัตน์ สิงหนาท หรือน้องอีฟ นักศึกษาปี 5 คณะสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
บอกว่า โครงการ WSPA ให้ความรู้การช่วยเหลือสัตว์ในภาวะภัยพิบัติ
ซึ่งตนตั้งใจจะนำความรู้ที่ได้รับไปสร้างกิจกรรมให้ความรู้แก่รุ่นน้องที่คณะเพื่อนำไปเผยแพร่ในชุมชนท้องถิ่นของแต่ละคนต่อไป
ถือได้ว่าเป็นโครงการที่จุดประกายจิตสำนึกในการช่วยเหลือสัตว์ยามเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้การที่ตนเข้ามารับการฝึกอบรมไม่ได้มองว่าจะได้กำไรหรือขาดทุน
แต่ดีใจที่ได้เรียนรู้และหวังจะเห็นเพื่อนมนุษย์หันมารักและใส่ใจต่อสัตว์ที่เป็นเพื่อนร่วมโลกของเรามากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เกิดภัยพิบัติรุนแรง
ขณะที่ เกรียงไกร เอี่ยมสกุล หรือน้องเมี่ยง นักศึกษาปี 4 คณะสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เล่าว่า
เหมือนเป็นการสร้างเสริมประสบการณ์ในการทำงานด้านสัตวแพทย์ หลังจากที่ได้เรียนทางด้านนี้มาแล้ว ทำให้รู้ว่า
เราจะสามารถช่วยเหลือสัตว์ได้อย่างไรในพื้นที่ตามชนบท และในเขตภัยพิบัติ
ซึ่งตนอยากเป็นส่วนหนึ่งที่จะเข้าไปช่วยชาวบ้านให้มีความอุ่นใจว่าสัตว์เลี้ยงของพวกเขาจะมีความปลอดภัย
เพราะชาวบ้านยังต้องใช้สัตว์ในการดำรงชีพ
ก็ถือว่าโครงการนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการดูแลทั้งวิถีชีวิตมุนษย์และสัตว์ให้พร้อมทั้งก่อนและหลังเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ
โดยพึงระลึกอยู่เสมอว่าอย่ามองข้ามที่จะตั้งรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต.
อุทิตา รัตนภักดี
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?
page=content&categoryId=42&contentID=135516
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น