วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ม.อ.จับมือ มหา’ลัยในมาเลเซีย เสริมแกร่งนักศึกษาสู่สากล

“มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์” (ม.อ.)
นับเป็นสถาบันการศึกษาที่มีความใกล้ชิดกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีการพัฒนาทั้งด้านเศรษฐกิจและการศึกษา เช่น ประเทศมาเลเซีย
ซึ่งส่งผลดีต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ในระดับมหาวิทยาลัย ทั้งความร่วมมือทางวิชาการและทางด้านศิลปวัฒนธรรม
เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันระหว่างบุคลากรและนักศึกษาของมหาวิทยาลัยทั้งสองประเทศ
ซึ่งต่างก็เป็นประเทศสมาชิกของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยกัน
โดยความร่วมมือได้พัฒนาจากวิทยาเขตใหญ่สู่วิทยาเขตปัตตานี และวิทยาเขตหาดใหญ่ สู่วิทยาเขตน้องใหม่อย่างเช่น วิทยาเขตตรัง

ในระหว่างปิดภาคการศึกษาภาคฤดูร้อนปีการศึกษา 2553 มหาวิทยาลัยได้ส่งนักศึกษาจากวิทยาเขตตรัง จำนวน 35
คน และ นักศึกษาจากคณะนิติศาสตร์ จำนวน 20 คน เข้าร่วมโครงการ Study Abroad ณ Universiti Malaya
ประเทศมาเลเซีย เพื่อกระตุ้นให้นักศึกษาได้เรียนรู้การใช้ชีวิตเพื่อปรับทัศนคติที่เป็นสากลเช่นเดียวกับทักษะภาษาต่างประเทศ
อีกทั้งจะช่วยให้นักศึกษาเรียนรู้โลกกว้างและเติบโตขึ้นเป็นบุคลากรที่สามารถเข้าสู่การแข่งขันในระดับนานาชาติ

“ปาณิสา วัฒนากิจจากุล” นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะพาณิชยศาสตร์และการจัดการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
วิทยาเขตตรัง หนึ่งในตัวแทนนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ กล่าวว่า อยากจะเข้าร่วมโครงการนี้มาก
ก่อนที่จะจบการศึกษาและออกไปสมัครงาน จึงต้องเลือกที่จะมาหาประสบการณ์ทางด้านภาษา แม้จะเจอปัญหาอุปสรรคบ้าง
ในเรื่องหอพัก แต่ในเรื่องการเรียนจะประทับใจอาจารย์ผู้สอน และทำให้รู้ว่าภาษาสำคัญมาก

“ที่มาเลเซียทุกคนจะพูดได้ 2-3 ภาษา ได้แก่ ภาษาอังกฤษ ภาษาบาฮาซามลายู และภาษาจีน
ทำให้อยากที่จะฝึกฝนและพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้ามากขึ้น อาจารย์ผู้สอนเน้นย้ำว่าอย่าทิ้งภาษาที่เรียนไป ต้องพัฒนาตนเองไปเรื่อย
ๆไปถึงขั้นสูงสุด นั่นเป็นกำไรชีวิตที่จะเรียนรู้ มาเลเซียมีหลายเชื้อชาติทำให้เราได้เปรียบในเรื่องภาษา ที่จะสื่อสารด้วย
ที่มาเรียนเราจะกังวลเรื่องของไวยากรณ์กลัวว่าจะพูดผิด ทำให้ไม่กล้าพูด แต่ที่นี่เขาไม่สนใจ ในชั้นเรียนจะแบ่งเป็น
2 กลุ่มแต่ละกลุ่มจะมีนักศึกษาเกาหลี 4 คน เข้าเรียนด้วย ทำให้เราสามารถเปรียบเทียบในเรื่องการเรียนได้
ว่านักศึกษาเกาหลีจะมีทักษะมากกว่า สามารถสื่อสารได้เลย แต่เรายังต้องแปลก่อน”

ปาณิสา เผยว่า ในชั้นจะเรียนเกี่ยวกับการสัมภาษณ์งาน การกรอกใบสมัครงาน เทศกาลต่างๆ การพูดเมื่อออกสังคม
แนะนำตนเอง อาจารย์จะถามนักศึกษาไทยว่า เรียนภาษาอังกฤษเมื่อใด อายุเท่าไหร่ หนึ่งสัปดาห์เรียนภาษากี่ชั่วโมง
เรียนเกี่ยวกับอะไร ที่นี่ไม่ได้สนใจไวยากรณ์ แต่เน้นที่การสื่อสารกันแล้วเข้าใจ

ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ 16-19 เมษายน 2554 ที่ผ่านมา นายชวน หลีกภัย
ในฐานะกรรมการสภามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ผู้ทรงคุณวุฒิ ทูตไทยประจำกรุงกัวลาลัมเปอร์
พร้อมด้วยคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อาทิ รศ.ดร.บุญสม ศิริบำรุงสุข อธิการบดี อาจารย์พิชิต
เรืองแสงวัฒนา รองอธิการบดี รศ.ดร.ธวัช ชิตตระการ รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา รศ.ดร.ฉัตรไชย รัตนไชย
รองอธิการบดีฝ่ายบริการวิชาการและวิเทศสัมพันธ์ รศ.ดร.ปิติ ทฤษฎิคุณ รองอธิการบดีวิทยาเขตตรัง และผศ.พักตรา คูบุรัตถ์

คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์ เยือนประเทศมาเลเซีย เพื่อเข้าเยี่ยมนักศึกษาโครงการ
Study Abroad ณ Universiti Malaya

นายชวน หลีกภัย กล่าวกับนักศึกษาที่เข้าพบว่า การใช้ชีวิตประจำวันของนักศึกษาไม่ได้มีการใช้ภาษาอังกฤษเลย
รู้ว่ายาก ต่างกับภาษาไทย ซึ่งภาษาไทยเป็นภาษาที่สมบรูณ์ที่สุด ไม่ได้ยืมคำศัพท์ของภาษาอื่น การสื่อสารของนักศึกษา
ทั้งการพูดและการเขียนเป็นภาษาไทย ไม่ว่าหนังสือราชการก็เป็นภาษาไทย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์
ทำให้เราไม่ได้นำภาษาอังกฤษมาใช้ในชีวิตประจำวัน นอกจากว่าเราจะสนใจและชอบพัฒนาตนเอง จะแตกต่างกับประเทศอื่น
แม้เขาจะมีภาษาที่เป็นภาษาของตนเองแต่จะใช้ภาษาอังกฤษเป็นตัวสะกด เช่น เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย เป็นต้น
เพราะฉะนั้นเราจะเสียเปรียบมาก

“จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่คิดมาตลอดว่า ทำไมไม่ใช้โอกาสที่เรามีอยู่กับเพื่อนบ้านที่ดี เช่น มาเลเซียมาทำโครงการร่วมกัน
เพื่อจะให้นักศึกษาของเราได้มาฝึกฝน ใช้ชีวิตกับนักศึกษาต่างชาติ สิ่งสำคัญเราจะฟันฝ่าปัญหานี้ไปได้อย่างไร
ขอให้เข้าใจว่า นั่นคืออุปสรรคทำให้เราได้มุมานะ ถ้าเราฝ่าสิ่งนี้เหล่านี้ไปได้
คนที่จะประสบความสำเร็จในอนาคตเคยผ่านความยากลำบากมาทั้งโลก ไม่มีใครสบายแล้วประสบความสำเร็จ
ยิ่งมีความยากมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งมีความพยายามมากเท่านั้น อยู่ที่พวกเราต้องคิดให้ได้ ที่ห่วงมากคือพวกเรากลัวความลำบาก
ถ้าเรากลัวความลำบากเราจะไม่ประสบผลสำเร็จ นักศึกษาทุกคนต้องไม่กลัวความยากลำบาก และใช้โอกาสนี้
ให้ดีที่สุดในช่วงระยะเวลา 8 สัปดาห์ หากเรารับอะไรได้มากก็กลับไปตั้งกลุ่มกันฝึกฝนภาษาอังกฤษกันทุกวัน
อย่างที่ใช้กันทุกวันที่นี่ นอกจากนั้นเราต้องอ่านมาก คนเราไม่ได้ประสบความสำเร็จกันทุกคน ขอให้มีความมุมานะพยายาม
กริยามารยาทเด็กไทย มีสัมมาคารวะ ไม่มีใครที่ไม่ชื่นชม สิ่งเหล่านี้ต้องให้ดำรงอยู่ แต่เราต้องไม่อาย พยายามฝึกฝนให้ได้
เป็นกำลังใจให้ทุกคน ”

ด้าน รศ.ดร. บุญสม ศิริบำรุงสุข อธิการบดี ม.อ. กล่าวเสริมว่า มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้ส่งนักศึกษาจากวิทยาเขตตรัง
จำนวน 35 คน เข้าร่วมโครงการดังกล่าวระหว่างวันที่ 12 มีนาคม - 7 พฤษภาคม 2554 และส่งนักศึกษาจากคณะนิติศาสตร์
จำนวน 20 คนเข้าร่วมโครงการดังกล่าวระหว่างวันที่ 1 - 28 เมษายน 2554

“นักศึกษาที่มาเรียนจะต้องฝึกฝนเรียนรู้ ต้องเปิดใจรับที่จะเอาสิ่งต่างๆ ตลอดการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่
เด็กที่เรียนอ่อนก็ให้ฝึกฝนหรือพูดฝึกฝนตนเองมากๆก็จะได้กับตัวเอง จะติดตัวเราไปตลอด”

ด้านผศ.พักตรา คูบุรัตถ์ คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์ กล่าวสำหรับเกณฑ์ในการคัดเลือก เป็นนักศึกษาชั้นปีที่
1 - 4 สาขาใดก็ได้ เนื่องจากมีผู้สนใจสมัครเข้ามามากต้องคัดเลือกโดยดูจากประวัติการศึกษา ผลการเรียนประกอบ
และต้องเป็นผู้ที่รักและอยากที่จะพัฒนาเรียนรู้ในวิชาภาษาอังกฤษ และมีความกล้าหาญที่จะไปเผชิญกับโลกภายนอก
โดยมีอาจารย์ภาควิชาภาษาตะวันตกเป็นผู้คัดเลือก ก่อนที่จะมาเรียนมีการทดสอบวิชาภาษาอังกฤษเพื่อจะได้กำหนดวิธีการสอน

เก็บค่าเล่าเรียนเท่ากับการเรียนภาคฤดูร้อนของที่วิทยาเขตตรัง ค่าใช้จ่ายคนละ 7,000 บาท มีการสอบกลางภาค
และสอบปลายภาค เพราะวิชาดังกล่าวที่เรียนนี้นักศึกษาสามารถโอนหน่วยกิตกลับมาที่มหาวิทยาลัยได้ 6 หน่วยกิต
ซึ่งจะเห็นว่าหากนับเป็นจำนวนชั่วโมงแล้วนักศึกษาจะเรียนมากกว่าที่เมืองไทย มีการสอบกลางภาค และสอบปลายภาค
นับเป็นโอกาสที่ดีของนักศึกษา ซึ่งกลุ่มนี้มาเรียนตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2554 และจะกลับประมาณ วันที่ 10 พฤษภาคม
2554

“เป็นประสบการณ์ที่เด็กจะได้รับ หากไม่ได้มาหาประสบการณ์จริง
มาเผชิญกับโลกภายนอกนักศึกษาจะคิดว่าภาษาอังกฤษไม่สำคัญ “ อนาคตสำหรับหลักสูตร 2 ปริญญานั้น
คาดว่าปีการศึกษาหน้าจะจัดทำโครงการการศึกษาที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์หลักสูตร 3+1เ
รียนที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 3 ปี และเรียนที่ University Malaya ประเทศมาเลเซีย หรือ Shanghai
University ประเทศจีน เป็นเวลา 1 ปี หลักสูตรที่สอนเป็นวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจ ซึ่งได้มีการเจรจากันแล้ว ”
ผศ.พักตรากล่าว

http://manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9540000050853

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“ชินวรณ์ “สั่งร.ร.ในพื้นที่ปะทะรับเปิดเทอม

คมชัดลึก :“ชินวรณ์ “สั่งร.ร.ในพื้นที่ปะทะ เตรียมพร้อมรับเปิดเทอม ประสานจังหวัดขุดหลุมหลบภัย ซ้อมอพยพนักเรียน
พร้อมให้ความร่วมมือเปิดสถานศึกษาเป็นศูนย์อพยพ สถานพยาบาลสนามและศูนย์ดำเนินการของฝ่ายความมั่นคง

(28 เม.ย.)นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

(รมว.ศธ. ) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารองค์กรหลัก ว่า
ได้สั่งการให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดที่ได้รับผ
ลกระทบจากการปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชาตามแนวชายแดน
เตรียมความพร้อมของสถานศึกษาในพื้นที่รับเปิดภาคเรียนวันที่ 16 พ.ค.นี้
โดยให้ประสานทางจังหวัดเข้ามาขุดหลุมหลบภัยให้โรงเรียน พร้อมจัดซ้อมอพยพนักเรียนเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน

ทั้งนี้ สถานศึกษาของ ศธ. ยังไม่ได้รับความเสียหายจากเหตุประทะครั้งนี้ มีเพียง ร.ร. อุโลกแห่งเดียว
ที่มีกระสุนปืนใหญ่ของทางกัมพูชามาตก 2 ลูก รั้วโรงเรียนเสียหายเล็กน้อย ไม่มีนักเรียน ครู ได้รับาดเจ็บหรือเสียชีวิต
อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายความมั่นคงได้ขอให้ สถานศึกษาของ ศธ. เป็นศูนย์อพยพ 26 แห่ง รับชาวบ้านอพยพไว้18,910 คน

ซึ่งตนได้สั่งการให้องค์กรหลักที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนงบประมาณให้สถานศึกษานำไปใช้ดูแลผู้อพยพ
และให้อำนวยความสะดวกต่าง ๆ อย่างเต็มที่ตลอดถึงให้
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.)
เข้าไปจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภายในศูนย์อพยพ นอกจากนั้น ให้สถานศึกษาให้ความร่วมมือฝ่ายความมั่นคง
ที่ขอให้สถานศึกษาเป็นสถานพยาบาลสนาม โดยให้จัดครูร่วมอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ และมีสถานศึกษาอีก 2 แห่ง
ถูกใช้เป็นศูนย์ดำเนินการของฝ่ายความมั่นคง

นายชินวรณ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับการฟื้นฟูสถานศึกษาในภาคใต้ที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม

ซึ่งครม.ได้อนุมัติงบสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉิน 422 ล้านบาทให้นำไปซ่อมแซมสถานศึกษาสังกัด ศธ. นั้น
ได้สั่งการให้องค์กรหลักเร่งประสานกับสำนักงบประมาณ ขอเร่งรัดเบิกจ่ายงบดังกล่าว
รวมถึงงบประมาณฟื้นฟูโรงเรียนที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมครั้งแรกจำนวน 1,300 ล้านบาท ซึ่งโรงเรียนร้องเรียนมาว่า
งบประมาณยังไปไม่ถึง ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายเงินจัดสรรให้สถานศึกษาฟื้นฟูโรงเรียนได้ทันเปิดภาคเรียน 16 พ.ค.

http://www.komchadluek.net/detail/20110428/


รมว.ศึกษาธิการลงนามแต่งตั้งกก.ควบคุมม.อีสาน

คมชัดลึก : "ชินวรณ์" ลงนามแต่งตั้งกรรมการควบคุม ม.อีสาน พร้อมตั้งกก. 17 คน มีผลทันที ชี้
ม.อีสานมีสิทธิ์อุทธรณ์คำสั่งได้ภายใน 30 วัน ขณะที่ สกอ.ชงครม.ตั้งคณะกรรมการกลางตรวจสอบมหาวิทยาลัย 3 พ.ค.นี้
ขยายผลตรวจสอบซื้อขายปริญญาทุกมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ แถมโฆษณาเกินจริงผ่านเว็บไซต์

เมื่อวันที่ 28 เมษายน นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า
ได้ลงนามในคำสั่งกระทรวงศึกษาธิการ ที่ 353/2554 เรื่อง
ให้มหาวิทยาลัยอยู่ในความควบคุมของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)
และตั้งคณะกรรมการควบคุมมหาวิทยาลัยอีสานด้วย
หลังจากกระทรวงศึกษาธิการมีคำสั่งให้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า
มหาวิทยาลัยอีสานได้จัดการศึกษาไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ.2546

คณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ระบบทะเบียนนักศึกษา
ป.บัณฑิตของมหาวิทยาลัยอีสานเป็นระบบที่ไม่มั่นคง ปลอดภัย เชื่อถือได้ รายได้ที่ได้บางส่วนไม่ได้นำเข้ากองทุนทั่วไป
และไม่แจ้งรายชื่ออาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตรให้สกอ.ทราบ ซึ่งเป็นการฝ่าฝืน มาตรา 43(6) และ 62 ของ
พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน และประกาศกระทรวงศึกษาธิการ
เรื่องแนวทางการบริหารหลักเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับอุดมศึกษา 2548
กรณีดังกล่าวอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่มหาวิทยาลัยอีสานได้ จึงมีมติให้
รมว.ศึกษาธิการสั่งให้มหาวิทยาลัยอีสานอยู่ในความควบคุมของ สกอ. และแต่งตั้งคณะกรรมการควบคุมมหาวิทยาลัยอีสานจำนวน
17 คน ดังนี้

นายสมนึก พิมลเสถียร ประธานกรรมการ รศ.ชูชาติ อารีจิตรานุสรณ์ รศ.สมนึก เอื้อจิระพงษ์พันธ์ รศ.สุมนต์
สกลไชย รศ.อานนท์ เที่ยงตรง รศ.กำจร ตติยกวี รศ.จีรเดช อู่สวัสดิ์ ผศ.ชัยนรินทร์ วีระสถาวณิชย์ นายประเสริฐ

ตันสกุล นางอรุณี ม่วงน้อยเจริญ น.ส.มัทนา สานติวัตร นางฉันทวิทย์ สุชาตานนท์ นายขจร จิตสุขุมมงคล
ผอ.สำนักประสานและส่งเสริมกิจการอุดมศึกษา เป็นกรรมการเลขานุการ เจ้าหน้าที่ สกอ.3 ราย เป็นผู้ช่วยเลขานุการ

ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยอีสานมีสิทธิ์อุทธรณ์คำสั่งควบคุม โดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อ รมว.ศึกษาธิการภายใน 30 วัน
แต่ว่าผลการควบคุมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้น คณะกรรมการจะเข้าไปทำหน้าที่วางนโยบายควบคุมดูแลทั่วไป
และดำเนินการในฐานะสภามหาวิทยาลัย หรือนายกสถาบัน โดยให้นายกสถาบัน และกรรมการสถาบันพ้นตำแหน่งตามมาตรา
32(6) เพราะฉะนั้น คณะกรรมการควบคุมสามารถเข้าไปดำเนินการได้ทันที

นายชินวรณ์ กล่าวด้วยว่า นอกจากถูกควบคุมแล้ว มหาวิทยาลัยอีสานจะถูกตรวจสอบต่อไป ถ้ามีการทำผิดกฎหมายใดๆ
ก็จะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย และในกรณีที่มีการปลอมแปลมเอกสารก็ต้องถูกดำเนินการตามกฎหมายแพ่งและอาญา
พร้อมพิจารณาโทษผู้ที่เกี่ยวข้องตามลำดับต่อไป เช่น การพ้นสภาพของคณาจารย์ การกำหนดโทษปรับไม่เกิน 1 แสนบาท
และต้องถูกดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งอาญาและแพ่ง

ในส่วนของคุรุสภา รายงานว่า ได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบและยืนยันข้อมูลตรงกันว่าเป็นกระบวนการซื้อขาย ชัดเจน
ซึ่งขณะนี้มหาวิทยาลัยอีสาน ได้ยกเลิกประกาศนียบัตร ป.บัณฑิต ไปแล้ว 1,300 ราย โดยวันที่ 28 เมษายนนี้
มีการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพเพื่อเพิกถอนบุคคลที่มีหลักฐานและข้อมูลดังกล่าวต่อไป
เพื่อไม่ให้สามารถนำใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูไปใช้ทำธุรกรรมอื่นใดซึ่งจะมีผลต่อเนื่อง
และได้มอบให้คุรุสภาดำเนินการตรวจสอบบุคลลที่เกี่ยวข้องในการปลอมแปลงเอกสารและให้เอกสารที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเ
พื่อดำเนินการต่อไปทั้งทางแพ่งและอาญา โดยให้ สกอ. คุรุสภา ให้ความร่วมมือนักศึกษาที่มายื่นเอกสารดังกล่าวในฐานะพยาน
เราจะคุ้มครองพยาน ตลอดถึงหากกลุ่มนักศึกษามีความประสงค์จะฟ้องร้องเรียกความเสียหายทางแพ่ง ขอให้ สกอ.จัดเจ้าหน้าที่
นิติกร อำนวยความสะดวกให้แก่นักศึกษา

ด้านนายไชยยศ จิรเมธากร รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า หลังจาก สกอ.ตั้งคณะกรรมการเข้าควบคุมมหาวิทยาลัยอีสาน
ก็จะส่งผลให้ผู้บริหารรวมทั้งสภามหาวิทยาลัยต้องยุติบทบาทโดยอัตโนมัติ
และจากนี้คณะกรรมการควบคุมจะเข้าตรวจสอบการดำเนินงานของสภามหาวิทยาลัย
และหากพบว่าใครกระทำผิดก็ให้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ซึ่งคาดว่าการดำเนินการตรวจสอบจะเสร็จก่อนมีรัฐบาลชุดใหม่อย่างแน่นอน ทั้งนี้ สกอ.ได้ส่งข้อมูลให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ
(ดีเอสไอ) แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณามูลฐานความผิดว่าจะเข้าข่ายและอยู่ในอำนาจหน้าที่ของดีเอสไอหรือไม่
หากพบว่าไม่เข้าข่ายก็จะดำเนินการส่งให้กองบังคับการปราบปรามดำเนินการตรวจสอบต่อไป

นอกจากนี้ ในส่วนของ สกอ.ได้หารือถึงข้อกฎหมายและในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 3 พฤษภาคมนี้
จะเสนอขอจัดตั้งคณะกรรมการกลาง เนื่องจากอำนาจของคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.)
ที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถตรวจสอบมหาวิทยาลัยได้ จึงจำเป็นต้องอาศัยอำนาจ ครม.ตั้ง ซึ่งคาดว่า
องค์ประกอบของคณะกรรมการจะมี เลขาธิการกกอ.เป็นประธาน และมีตัวแทนจากดีเอสไอ กองปราบปราม
กระทรวงไอซีที ธนาคารแห่งประเทศไทย กรมสรรพสามิต ร่วมเป็นกรรมการ
ทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงการซื้อขายปริญญาทุกมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ โดยเฉพาะการโฆษณาเกินจริงผ่านเว็บไซต์
ซึ่งมีคนร้องเรียนเข้ามาจำนวนหนึ่ง

นายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการ กกอ.กล่าวว่า
หน้าที่คณะกรรมการกลางจะเข้าไปตรวจสอบมาตรฐานของมหาวิทยาลัยเพื่อเป็นการขยายผลต่อเนื่อง
โดยหลังจากมีการตรวจสอบกรณีซื้อขายใบ ป.บัณฑิต ที่ผ่านมาก็เริ่มผู้ร้องเรียนเข้ามาหลายราย ซึ่งบางเรื่องก็มีพฤติกรรมแปลกๆ
เช่น เก็บค่าเล่าเรียนไม่ตรงตามที่ตกลงไว้ และพอใกล้จะจบก็เรียกเก็บเพิ่มในอัตราที่แพงกว่าปกติ

นอกจากนั้นยังจะเข้าไปดูในเรื่องของการโฆษณาเกินจริง หลอกว่ามีอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาสอน แต่พอไปเรียนจริงกลับไม่มี
ทำให้เขาไม่ได้รับการศึกษาตามต้องการ หรือหลักสูตรที่อ้างว่าจะต้องมีการดูงานในต่างประเทศแต่ความจริงคือการไปเที่ยว
โดยกลุ่มแรกที่จะไปตรวจสอบก่อนคือกลุ่มที่ได้รับร้องเรียน โดยเฉพาะ 4-5 แห่งที่ได้รับร้องเรียนว่ามีการซื้อขายปริญญา

http://www.komchadluek.net/detail/20110429/


ภาคธุรกิจแนะผลิตบัณฑิตคนดีก่อนคนเก่ง

คมชัดลึก :ภาคธุรกิจ ชี้บทบาทอุดมศึกษา ผลิตบัณฑิตยุคใหม่ต้องให้เป็นคนดี ก่อนคนเก่ง ปรับหลักสูตรเอาคุณธรรมนำความรู้
ติงเด็กไทยไม่รู้จักหน้าที่พลเมือง เหตุระบบการศึกษาไม่ได้สอน ฝากศธ.บรรจุวิชา หลักสูตรหน้าที่พลเมือง แก่เด็ก
ควบคู่ความรับผิดชอบในสังคม การทำความดี ไม่ใช่สอนเฉพาะเรื่องของความรู้

ดร.ปรเมธี วิมลศิริ รองเลขาธิการคณะกรรมการการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวในงานเสวนา “รวมสมอง
มองอนาคตอุดมศึกษาไทย” ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ลักษณะของบัณฑิตที่ภาคสังคม ภาคธุรกิจ
อยากเห็นมากที่สุด คือ บัณฑิตที่เป็นคนดี และคนเก่ง ซึ่งมหาวิทยาลัยต้องผลิตสร้างคนดีก่อน แล้วค่อยเสริมความเก่ง
เพราะตอนนี้บัณฑิตที่จบออกมาส่วนใหญ่ เป็นคนเก่งที่นึกถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน โดยไม่สนใจทำประโยชน์เพื่อส่วนร่วม
ฉะนั้น รูปแบบการพัฒนาบัณฑิตของมหาวิทยาลัยในโลกโลกาภิวัฒน์ ที่มีการเปลี่ยนแปลง การเชื่อมโยง
แลกเปลี่ยนกันในแต่ละประเทศอย่างไร้ขีดจำกัด มหาวิทยาลัยต้องปรับหลักสูตรเอาคุณธรรมนำความรู้ ช่วยเหลือสังคม
และเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ รวมถึงมหาวิทยาลัยต้องเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนประเทศไทยมากขึ้น

อาทิ ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ 11 แผนระยะยาว5 ปี ที่จะเริ่มใช้ในเดือนต.ค.2554
นี้ มหาวิทยาลัยต้องเข้ามามีส่วนในการผลักดัน และร่วมพัฒนาประเทศในเรื่องการสร้างความชอบธรรมในสังคม
ความปรองดอง สมานฉันท์ ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม การเตรียมคนสู่โลกอนาคต การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
การเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน และการสร้างความสมดุลในเรื่องของอาหาร พลังงาน และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

ด้าน นายสุกิจ อุทินทุ รองประธาน CSR Club สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทยกล่าวว่าระบบการศึกษาของไทยในปัจจุบัน
มุ่งเน้นแต่สร้างคนเก่ง ไม่ได้สร้างคนดี โดยเฉพาะระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย สิ่งแรกที่ดูคือคะแนน
ไม่ใช่ความประพฤติ การทำประโยชน์เพื่อสังคม
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กไทยจะหันไปเรียนกวดวิชามากกว่าการทำงานเพื่อส่วนร่วม เพราะถ้าไม่เรียนกวดวิชา เด็กก็ทำข้อสอบไม่ได้
คะแนนก็ต่ำ

ดังนั้น การวางแผนของมหาวิทยาลัย ถือแม้จะเป็นปลายทางการศึกษา แต่เป็นปลายทางที่จะสร้างเด็กเพื่อออกไปสู่สังคม
โลกของการทำงาน การผลิตบัณฑิตในอนาคต ต้องเริ่มปลูกฝังความดี ให้มีความประพฤติที่ดี มีความรับผิดชอบ
รู้จักช่วยเหลือสังคม ทำกิจกรรมสาธารณะประโยชการ มีจิตอาสา ให้เกิดขึ้นในตัวเด็กให้ได้ เพราะในภาคธุรกิจ
สังคมในโลกอนาคต ต้องการคนดี มากกว่าคนเก่ง เนื่องจากคนเก่งภาคธุรกิจสามารถสร้างขึ้นได้เอง แต่คนดี
ต้องเริ่มจากระบบการศึกษา อุดมศึกษาที่ช่วยหล่อหลอม ขัดเกลาขึ้นมา

“หลายครั้งที่ได้มีโอกาสอบรมเด็กรุ่นใหม่ และสอบถามเกี่ยวกับการทำหน้าที่พลเมืองที่ดีต้องทำอย่างไร

ส่วนใหญ่มักตอบถึงเรื่องการมีสิทธิ โดยไม่รู้หน้าที่ เพราะพวกเขาไม่เคยเรียน ฉะนั้น
หากจะให้เด็กไทยรู้จักการทำหน้าที่พลเมืองที่ดี กระทรวงศึกษาธิการ อุดมศึกษา ควรบรรจุวิชา หลักสูตรหน้าที่พลเมืองแก่เด็ก
อีกทั้งควรจะมีการสอนเกี่ยวกับความรับผิดชอบในสังคม การทำความดี ไม่ใช่สอนเฉพาะเรื่องของความรู้ อย่างไรก็ตาม
ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าประเทศไทย คนไทย ต้องแข่งขันกับประเทศต่างๆ มากขึ้น โลกมีการเปลี่ยนแปลง
ถึงเวลาแล้วที่มหาวิทยาลัยไทยต้องเปลี่ยน สร้างคนรุ่นใหม่ที่รู้จักแสวงหาโอกาส และใช้โอกาสในทางที่ถูก
ที่นำความเจริญให้แก่ประเทศ” นายสุกิจ กล่าว

http://www.komchadluek.net/detail/20110428/


ประธานกอศ.ยอมไม่ได้สอศ.ลัดขั้นตอน เอกชนเบรกรัฐรับนร.อย่ามุ่งปริมาณ

ศ.ดร.ธีรวุฒิ บุณยโสภณ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนคร เหนือ (มจพ.)
ในฐานะประธานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า ตามที่การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)
เมื่อวันที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบในหลักการร่างกฎกระทรวงเพื่อจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษา ตาม
พ.ร.บ.การอาชีวศึกษา พ.ศ. 2551 โดยจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษานำร่อง 4 แห่งตามที่กระทรวงศึกษาธิการ
(ศธ.) เสนอนั้น ตนได้ทำหนังสือถึง ดร.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ เลขาธิการ กอศ.เพื่อแจ้งให้ทราบว่า การที่เลขาธิการ
กอศ.ดำเนินการส่งร่างกฎกระทรวง 4 ฉบับดังกล่าวให้ น.ส.นริศรา ชวาลตันพิพัทธ์
รมช.ศธ.เสนอต่อครม.โดยไม่ผ่านความเห็นและคำแนะนำของบอร์ด กอศ.ก่อนดำเนินการเสนอ
ครม.รวมทั้งยังไม่ได้ผ่านหลักเกณฑ์การประเมินความพร้อมในการจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาที่กำหนดโดยบอร์ด
กอศ.ตามอำนาจหน้าที่ในมาตรา11(2) จึงไม่เป็นไปตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.การอาชีวศึกษา พ.ศ. 2551
ซึ่งเป็นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้อง
ถือเป็นการจงใจไม่ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมายจึงถือว่าผู้เกี่ยวข้องทุกคนปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบตามกฎหมาย
อันเป็นความผิดตามประมวลอาญามาตรา 157 และอาจเข้าข่ายถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญได้
นอกจากนี้ตนยังได้ทำหนังสือไปถึงผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.) และศาลปกครอง เพื่อร้องเรียนและขอให้ตรวจสอบการกระทำของเลขาธิการ กอศ. ด้วย

ดร.วีรวัฒน์ วรรณศิริ นายกสมาคมโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่วิทยาลัยต่าง ๆ
ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)กำลังรับสมัครนักเรียนอาชีวศึกษาเพิ่มเติมเป็นรอบที่
2–3 ในขณะนี้ โดยให้เหตุผลว่ามีนักเรียนมาสมัครเป็นจำนวนมากนั้น ตนมีความเห็นว่า
การจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษาต้องพิจารณาความพร้อมด้านเครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์
ตลอดจนครูและบุคลากรทางการศึกษาด้วย เพื่อให้สามารถควบคุมคุณภาพได้ตามมาตรฐานหลักสูตร
หากรัฐบาลต้องการปฏิรูปการศึกษาอย่างแท้จริงก็ต้องคำนึงถึงเรื่องคุณภาพเรื่องปริมาณ
มิฉะนั้นเด็กอาชีวศึกษาที่จบออกไปก็จะขาดคุณภาพและจะกลับไปสู่สภาพเดิม ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด
แต่สำหรับโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนฯนั้น
ทางสมาคมฯได้มีนโยบายชัดเจนว่าขอให้ทุกโรงเรียนที่เป็นสมาชิกเน้นการรับนักเรียนตามหลักความพร้อม
เพราะเราต้องการเน้นคุณภาพ

ดร.วีรวัฒน์ กล่าวว่า ส่วนเรื่องการพัฒนาการอาชีวศึกษาของชาติ ตนอยากให้

สอศ.เร่งกำหนดแนวทางการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา เพราะสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา
(สมศ.) จะเริ่มการประเมินรอบสามในเดือนมิ.ย.นี้แล้ว ซึ่งโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนกำลังรอเกณฑ์จาก
สอศ.อยู่ด้วยความวิตกกังวล เพราะเกรงจะดำเนินการไม่ทันกับการที่ สมศ.จะเข้าตรวจ
ส่วนเรื่องการจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษานั้น ก็อยากให้ สอศ.เร่งดำเนินการเช่นกัน
เพราะเป็นอนาคตของนักเรียนอาชีวศึกษาที่จะได้เรียนต่อระดับปริญญาตรีสายปฏิบัติการ.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?
page=content&categoryId=42&contentID=135652

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


งานซอฟต์แวร์ไทยน่าห่วง ขาดแคลนกำลังคนนับแสน

ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 29 เม.ย.นี้
มหาวิทยาลัยของรัฐ 25 แห่ง จะมีการหารือร่วมกับสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ หรือ ซิปป้า
ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ในประเทศให้สามารถแข่งขันในตลาดโลก
เพื่อร่วมกันวางแผนการผลิตกำลังคนของประเทศทางด้านสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศว่า ควรเป็นไปในทิศทางใด
และจะมีสูตรในการผลิตอย่างไรให้ได้บัณฑิตที่มีคุณภาพและจำนวนเพียงพอที่จะเข้าไปทำงาน
เนื่องจากขณะนี้สาขาดังกล่าวมีความขาดแคลนอย่างมาก โดยเฉพาะทางด้านแอนิเมชั่น วิศวกรรมซอฟต์แวร์ ที่ขาดแคลนไม่ต่ำกว่า

2 แสนคน เพราะประเทศต้องการคนกลุ่มนี้เพื่อมาพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ

“ถ้าประเทศไทยยังไม่สนใจที่จะผลิตกำลังคนทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ จะทำให้เสียโอกาสในหลายด้าน
และการเป็นฐานการผลิตซอฟต์แวร์ให้แก่ประเทศญี่ปุ่น ที่ต้องการคนทางด้านนี้จำนวนมาก รวมถึงการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
ในปี 2558 ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่มหาวิทยาลัยต่าง ๆ จะต้องให้ความสำคัญกับการผลิตบัณฑิตสาขานี้ให้มากขึ้น
ซึ่งเมื่อจบแล้วประกันการมีงานทำแน่นอน” ศ.(พิเศษ)ดร.ภาวิชกล่าว.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?
page=content&categoryId=42&contentID=135651

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


สพฐ.เก็บข้อมูลครูขอเออร์ลี่

นายกมล ศิริบรรณ ผอ.สำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ (สพร.)สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
(สพฐ.) เปิดเผยว่า
สพฐ.ได้แจ้งไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศให้ดำเนินการโครงการมาตรการปรับปรุงอัตรากำ
ลังส่วนราชการการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด หรือ เออร์ลี่รีไทร์ ประจำปีงบประมาณ 2555 วันที่ 1
ต.ค. 54 ตามที่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) กำหนดแผนมาตรการ
ปรับปรุงอัตรากำลังส่วนราชการออกมา ซึ่งปีนี้ สพฐ.ได้รับการจัดสรรอัตราเออร์ลี่รีไทร์ประมาณ 13,000 อัตรา
โดยจะให้เขตพื้นที่ฯจัดส่งข้อมูลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ต้องการเข้าร่วมโครงการนี้มาภายในวันที่ 31พ.ค.นี้

ผอ.สพร.สพฐ. กล่าวต่อไปว่า สำหรับหลักเกณฑ์ที่ คปร.กำหนดออกมาปีนี้มีการปรับเกณฑ์อายุของผู้ที่จะเข้าโครงการว่า
ต้องเหลืออายุราชการอย่างน้อย 2 ปี และมีอายุราชการ 25 ปีขึ้นไป จากเดิมที่กำหนดว่ามีอายุราชการเหลือเพียง 1 ปี
ก็สามารถเข้าร่วมโครงการได้ ส่วนกรณีข้าราชการครูในสาขาขาดแคลน เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์
นั้นอาจจะไม่ได้รับการอนุมัติให้เข้าโครงการแต่ก็ต้องพิจารณาเหตุผลความจำเป็นเป็นรายกรณีไป

นายกมล กล่าวด้วยว่า ส่วนการลงพื้นที่ติดตามการสอบภาค ก และ ข
ในการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา

ตำแหน่งครูผู้ช่วยประจำปีการศึกษา 2554 ระหว่างวันที่ 25-26 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น
การจัดสอบเป็นไปด้วยความเรียบร้อยดียังไม่พบปัญหาการทุจริตแต่อย่างไร.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?
page=content&categoryId=42&contentID=135653

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++